SHORT CUT
ย้อนไทม์ไลน์เจรจา สหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้าจากอินเดียเป็น 50% หลังเจรจาการค้าเจอโต้ตอบหนักเรื่องสินค้าเกษตรและน้ำมันรัสเซีย
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการ ภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียสูงสุดถึง 50% ทันที การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่เป็นสัญญาณความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในเวทีโลกอีกด้วย
นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ของอินเดีย แสดงความมุ่งมั่นที่จะทำข้อตกลงการค้าให้สำเร็จภายในปลายปี 2025 พร้อมตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคีให้สูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 การเจรจาดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองฝ่าย ซึ่งดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดี แม้รายงานประจำปีของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จะระบุว่าอินเดียยังคงมีอุปสรรคทางการค้าหลายด้าน เช่น ภาษีนำเข้าที่สูง ข้อจำกัดที่ไม่ใช่ภาษี กฎหมายข้อมูล และปัญหาลิขสิทธิ์
การเจรจายังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความคาดหวังว่าจะได้ข้อสรุป แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายยังคงหาข้อสรุปเรื่อง อัตราภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร ไม่ได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมาก การเจรจาจึงชะงักงัน และความหวังที่จะบรรลุข้อตกลงก่อนกำหนดก็หมดลง โมดีปฏิเสธ คำเชิญจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ไปเยือนวอชิงตัน ขณะที่อินเดียยืนยันว่าจะไม่ยอมทำข้อตกลงเพียงเพื่อให้ทันกำหนดเวลา และจะยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
ความตึงเครียดพุ่งถึงขีดสุดเมื่อสหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้มาตรการภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย และในเวลาไล่เลี่ยกัน ทรัมป์ ยังเตือนว่าจะเพิ่มอีก 25% หากอินเดียยังซื้อพลังงานจากรัสเซีย ซึ่งอินเดียยืนยันว่ามาตรการนี้ "ไม่เป็นธรรม" และจะปกป้องผลประโยชน์ชาติ ไม่ยอมลดสิทธิประโยชน์ของเกษตรกร แม้จะต้องจ่าย "ราคาที่สูง" การเดินทางของคณะสหรัฐฯ ที่จะไปนิวเดลีจึงถูกยกเลิก และเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม สหรัฐฯ ก็เพิ่มภาษีอีก 25% ทำให้ภาษีนำเข้าจากอินเดียพุ่งสูงถึง 50% ซึ่งเป็นหนึ่งในระดับสูงสุดที่สหรัฐฯ ใช้กับคู่ค้า
การใช้มาตรการภาษีครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะเป็นพันธมิตรกัน แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องต่อสู้และหาทางออกร่วมกันอย่างหนัก โดยเฉพาะในยุคที่การค้าโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้
ที่มา : thansettakij
ข่าวที่เกี่ยวข้อง