
SHORT CUT
'ยิ่งร้อนเท่าไหร่ ยิ่งฟักไข่เป็นตัวเมีย' แล้วลูกหลานรุ่นต่อไปจะทำยังไง เมื่ออุณหภูมิความร้อน ส่งผลต่อการขยายพันธุ์ของสัตว์เลื้อยคลานมากกว่าที่คิด
ยังคงเป็นปริศนาทางวิทยาศาตร์ สำหรับระบบสืบพันธุ์ของสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหลายชนิดที่แตกต่างจากสัตว์ทั่วไป เนื่องจากเพศของพวกมันไม่ได้ถูกกำหนดโดยยีน หรือ โครโมโซม X และ Y แต่ถูกกำหนดโดย 'อุณหภูมิในรัง' ก่อนที่ไข่ของพวกมันจะถูกฟักออกมา
ยกตัวอย่างเช่น เต่าตนุ หากอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 29 องศาเซลเซียส ในช่วงกลางของระยะฟักไข่ ลูกเต่าที่ฟักออกมาจะมีเพศเมียและเพศผู้ในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง แต่หากอุณหภูมิร้อนไปกว่านั้น ยิ่งร้อนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่ไข่จะฟักเป็นเพศเมียมากขึ้น
เหตุการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นกับเต่าส่วนใหญ่ จระเข้ และกิ้งก่าบางชนิด ซึ่งสายพันธุ์ของพวกมันล้วนอยู่รอดมาได้ท่ามกลางความผันผวนของสภาพภูมิอากาศโลกเป็นเวลาหลายล้านหรือหลายร้อยล้านปี แต่ปัจจุบันพวกมันกำลังเผชิญกับปัญหามากมายที่ไม่เคยพบมาก่อนในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเผ่าพันธุ์ รวมถึงการสูญเสียถิ่นที่อยู่จากฝีมือมนุษย์ และภาวะโลกร้อน
หากอุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลให้สัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้มีสัดส่วนเพศผู้หรือเพศเมียไม่สมดุล แน่นอนว่ามันอาจนำไปสู่การทำลายล้างสายพันธุ์ เนื่องจากโอกาสในการผสมพันธุ์จะลดลง ประชากรอาจเกิดการผสมพันธุ์ในหมู่ญาติใกล้ชิด สมาชิกที่เหลือรอดของสายพันธุ์ก็กำลังลดจำนวนลงจากแรงกดดันอื่นๆ จนอาจไม่สามารถหาคู่เพื่อผสมพันธุ์และสืบพันธุ์ได้ บางชนิดดูเหมือนจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปโดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการทำรัง แต่เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเร่งตัวขึ้น การอยู่รอดต่อไปของพวกมันอาจขึ้นอยู่กับว่า พวกมันจะสามารถปรับตัวได้หรือไม่
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงพยายามหาคำอธิบายว่า สัตว์เลื้อยคลานนั้นอาศัยอุณหภูมิในการตัดสินเพศของลูกได้อย่างไร และพวกมันจะสามารถปรับตัวได้มากแค่ไหนในเรื่องพฤติกรรมการทำรังเพื่อหลีกหนีผลกระทบจากโลกร้อน