svasdssvasds

SCG เผย ปี 65 กำไรลด 55% หนักสุดในรอบ 15 ปี หลังเกิดวิกฤตพลังงาน ขอมุ่งสายกรีน

SCG เผย ปี 65 กำไรลด 55% หนักสุดในรอบ 15 ปี หลังเกิดวิกฤตพลังงาน ขอมุ่งสายกรีน

เอสซีจี เผยผลประกอบการปี 65 กำไรลดลง 55% หนักสุดในรอบ 15 ปี หลังเผชิญกับวิกฤตพลังงาน ผลพวงความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน จึงขอหันหน้าหา Green Investment แทน ตามเมกะเทรนด์โลก

(26 มกราคม 2566) เอสซีจีเผยผลประกอบการปี 2565 โดยมีรายได้เพิ่ม 7 % แต่กำไรลดลงมากถึง 55% ซึ่งการลดลงของกำไรในครั้งนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 14-15 ปี หลังกำไรลดลงหนักครั้งล่าสุดของ SCG คือในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (ประมาณปีค.ศ. 2008) การลดลงของกำไรในครั้งนี้มาจากต้นทุนด้านพลังงานสูงขึ้นอย่างมาก เงินเฟ้อ  เศรษฐกิจจีนชะลอตัว วัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้นจึงขอมุ่งหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะเดินตามเมกะเทรนด์โลก อย่าง Green Business และสินค้ากรีน

คณะผู้บริหารร่วมชี้แจงรายละเอียดผลประกอบการ เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2566 สรุปผลประกอบการด้านการเงิน SCG ปี 2565

SCG มีรายได้เพิ่มขึ้น 569,609 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 แต่ในด้านกำไรกลับลดลง โดยลดลง 21,382 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 55 ในขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2565 มีกำไรทั้งสิ้น 157 ล้านบาท ทั้งนี้หากไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ รายการด้อยสินทรัพย์ และรายการอื่น จะมีกำไรทั้งสิ้น 1,070 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 66 จากไตรมาสก่อน

สาเหตุการลดลงของกำไร

SCG ยอมรับว่ากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤต และนี่เป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต เพราะในช่วงปีที่ผ่านมา หลายธุรกิจหลายองค์กรต่างก็เผชิญหน้ากับช่วงขาลง อันเนื่องมาจากความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน จนทำให้ราคาพลังงานทั้งถ่านหินและค่าไฟพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก เกิดเงินเฟ้อ ค่าเงินบาทผันผวน เศรษฐกิจจีนก็ชะลอตัว รวมถึงวัฏจักรปิโตรเคมีก็อยู่ในช่วงขาลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี

อีกทั้ง หลังเกิดวิกฤต ทำให้ลูกค้าทั้งรายใหญ่และรายย่อยเริ่มลดสต็อกและเร่งขายออก ทำให้ความต้องการอุปโภคบริโภคลดน้อยลง มีความต้องการแรงงานและ ทรัพยากรลดลงเพื่อให้ลดต้นทุน แต่มันสวนทางกับต้นทุนที่สูงขึ้นของเรา อีกทั้งในช่วงนั้น รัฐบาลหลายประเทศก็ปรับอัตราดอกเบี้ย จนส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปรับงบตาม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความคาดหวังต่อการเติบโตธุรกิจในปี 2566

แน่นอนว่า เอสซีจีได้เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพยายามปรับตัวให้ฉับไวเพื่อบรรเทาผลกระทบที่มีต่อธุรกิจโดยรวม เพราะ SCG เองก็มีลูกค้าจำนวนมาก  ดังนั้น เพื่อมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้มั่นคง SCG จึงต้องพยายามหาทางลดต้นทุน โดยจะใช้พลังงานทดแทนและเทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการผลิตเข้ามาช่วย ขะพิจารณาการลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้ SCG มีเงินสดคงเหลือแข็งแกร่งอยู่ที่ 95,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ความท้าทายที่ผ่านมาก็เอื้อให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ ของธุรกิจ โดยเฉพาะความต้องการสินค้ากรีน ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญของโลกในปัจจุบันที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง  ทั้งในกลุ่มพลังงานสะอาด พลาสติกรักษ์โลก โซลูชันประหยัดพลังงาน บรรจุภัณฑ์ที่ดลการใช้ทรัพยากร

สิ่งเหล่านี้นำ SCG ไปสู่ ยอดขาย SCG Green Choice ในปี 2565 ที่เติบโตอย่างโดดเด่นร้อยละ 34 เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ กรือมียอดขายรวม ร้อยละ 51 ซึ่งทุกกลุ่มธุรกิจของเอสซีจีพร้อมเร่งเดินหน้าเต็มที่ เพิ่มเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น

สำหรับปี 2566 เอสซีจีมองว่า แน้วโน้มทางเศรษฐกิจของไทยจะดีขึ้น เนื่องจากนโยบาย ZERO-COVID ของจีนพร้อมกับการเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวจะกลับมาอย่างเต็มรูปแบบ

จีนเปิดประเทศ การท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง ต้นปี 2566 ในขณะที่ตลาดอาเซียนก็ปรับตัวขึ้นตามการเปิดประเทศของจีน ราคาถ่านหินในตลาดโลกลดลงหลังจากช่วงฤดูหนาว และเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว เอสซีจีเชื่อมั่นว่าจะสามารถผ่านวิกฤติในครั้งนี้ และตอบความต้องการใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า

“ในปีนี้ สิ่งที่เอสซีจีจะมุ่งไปมี 3 อย่าง คือ การสร้างความมั่นคงให้โครงการที่เวียดนามที่จะต้องจบและปลอดภัย ต้องเดินตามทิศทางของพลังงานสะอาด และที่สำคัญฐานะการเงินของเอสซีจีจะต้องแข็งแกร่งขึ้น แต่หากถามว่าให้ความสำคัญกับข้อไหนมากสุด ก็คงต้องเป็นข้อสาม การมุ่งรักษาความมั่นคงทางการเงินและสภาพคล่อง รัดเข็มขัดอย่างรอบคอบ ลดต้นทุนพลังงาน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเร่งเดินหน้าธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ ซึ่งตลาดในภูมิภาคนี้กำลังเริ่มฟื้นฟูแล้วในปีนี้”

นอกจากนี้ เอสซีจีพร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งในสังคม โดยปี 2565 ได้สร้างอาชีพให้กับผู้ที่เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจรวมทั้งสิ้น 9,000 คน ให้มีรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้

ขอแก้ไขด้วยการหันหน้าเดินตามเมกะเทรนด์โลก Green Business

หลังจากทราบผลตอบรับของธุรกิจสีเขียวที่เอสซีจีทดลองดำเนินไป จึงทำให้เอสซีจียิ่งมั่นใจว่ากำลังเดินไปถูกทาง นวัตกรรมสีเขียวของ SCG มีหลัก ๆ ได้แก่

  • Smart Grid (Solar Roof)
  • SCGC Green Polymer พลาสติกรักษ์โลก
  • SCG Air Scrubber นวัตกรรมประหยัดพลังงาน
  • เส้นใยนาโนเซลลูโลส (แพคเกจจิ้งรักษ์โลก)
  • เทคโนโลยี Torrefection การสร้างพลังงานชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ เป็นต้น

ตัวอย่างการจ่ายพลังงานโซลาร์ในกลุ่ม SCG นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า

“จากวิกฤติต้นทุนพลังงานทั้งถ่านหินและค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก เอสซีจีจึงรุกธุรกิจพลังงานสะอาด โดยมีขนาดกำลังการผลิต 234 เมกะวัตต์ ในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 78 จากปีก่อน ด้วยระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Grid สำหรับนิคมอุตสาหกรรม เครือข่ายโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงพยาบาล ล่าสุดติดตั้งแล้วในกลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง เชื่องโยงพลังงานสะอาดระหว่าง 10 บริษัทช่วยลดต้นทุนพลังงาน ร้อยละ 30”

นอกจากนี้ยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 3,670 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี โดยในปี 2565 เอสซีจีเพิ่มสัดส่วนใช้เชื้อเพลิงทดแทนเป็นร้อยละ 34 จากร้อยละ 26 ในปีก่อน และมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 194 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจาก 30 เมกะวัตต์ในปีก่อน ขณะเดียวกัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้

ส่วนในด้านของค่าไฟแพง มี Solution อะไรแนะนำบ้าง?

ตอนนี้ SCG กำลังมุ่งไปที่ 2 นวัตกรรมหลักคือ Air Scrubber กับ Solar Roof

  • Air Scrubber

เน้นไปที่การให้บริการกับลูกค้ารายใหญ่ที่มีตึก ซึ่งมักเป็นลูกค้ากลุ่มธุรกิจ มีความสามารถในการฟอกคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศให้สะอาด อีกทั้งทำให้อุณหภูมิต่ำ (มีความเย็น) จึงทำให้ตึกนั้น ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ ช่วยประหยัดค่าไฟไปได้เยอะ

  • Solar Roof

จะเน้นไปที่กลุ่มบุคคลทั่วไป ที่มีความต้องการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์ เพื่อลดการใช้ไฟและลดค่าไฟลงได้ ตอนนี้เอสซีจีได้จัดทำนวัตกรรม Battery ที่จะสามารถกักเก็บพลังงานในช่วงกลางวันไว้ใช้ในช่วงกลางคืนได้ และยังมี Built-in Solar Tile หลังคาโซลาร์เซลล์เฉพาะที่จะติดเนียบกริบไปกับหลังคาบ้าน หรือก็คือหลังคาบ้านที่มาในรูปแบบกักเก็บพลังงานโซลาร์เซลล์นั่นเอง

ตัวอย่างของการนำพลังงานโซลาร์มาใช้ต่อไฟเพื่อทำการอบอาหารให้ชมด้วย นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจีกล่าวว่า

“เอสซีจี เร่งผลักดันธุรกิจสมาร์ท ลิฟวิ่ง โดยเฉพาะโซลูชันเพื่อประหยัดพลังงานและค่าไฟ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในช่วงค่าไฟปรับตัวสูง โดยในปี 2565 เติบโตกว่าร้อยละ 40 อาทิ “SCG Air Scrubber” นวัตกรรมประหยัดพลังงานระดับโลก สำหรับอาคารขนาดใหญ่ ศูนย์ประชุม หรือห้างสรรพสินค้า มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดพลังงานได้ถึงร้อยละ 20-30"

ตอนนี้ติดตั้งแล้ว 7 อาคารขนาดใหญ่ เช่น ศูนย์การค้า Terminal 21 สาขาพัทยา, Kloud by Kbank สยามสแควร์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี จึงจะมีโครงการลงทุนขยายรุ่นสินค้าตามความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ ได้พัฒนา “SCG Built-in Solar Tile” นวัตกรรมแผงโซลาร์สำหรับบ้านสไตล์โมเดิร์น ที่ออกแบบเนียนเรียบไปกับผืนหลังคา ช่วยลดค่าไฟได้ร้อยละ 60

related