svasdssvasds

ลดค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค. 2566 หากชำระแล้วการไฟฟ้าฯ คืนส่วนลดให้เดือนถัดไป

ลดค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค. 2566 หากชำระแล้วการไฟฟ้าฯ คืนส่วนลดให้เดือนถัดไป

จากสถานการณ์ราคาพลังงานและในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบลดค่าไฟฟ้า 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 และสำหรับบิลค่าไฟฟ้าเดือนพฤษภาคม 2566 ที่จดหน่วยและส่งใบแจ้งค่าไฟฟ้าในวันที่ 14-17 พฤษภาคม ที่ยังไม่มีส่วนลด การไฟฟ้าฯ คืนส่วนลดให้ในเดือนถัดไป

จากที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนจากผลกระทบจากราคาพลังงาน ตามที่ ครม. เสนอให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน และส่วนลดค่าไฟฟ้า (เพิ่มเติม) สำหรับงวดเดือนพฤษภาคม 2566 จำนวน 150 บาทต่อราย ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน ทั้งนี้กำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม 

ลดค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค. 2566 หากชำระแล้วการไฟฟ้าฯ คืนส่วนลดให้เดือนถัดไป

สำหรับบิลไฟฟ้าประจำเดือนพฤษภาคม 2566 ที่จดหน่วยและส่งใบแจ้งค่าไฟฟ้าในวันที่ 14-17 พฤษภาคม 2566 ที่ยังไม่มีส่วนลด ทางการไฟฟ้านครหลวงจะปรับปรุงในระบบรับชำระเงินค่าไฟฟ้า โดยผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบยอดเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนพ.ค. 2566 ที่มีการปรับปรุงแล้วได้ที่แอปพลิเคชัน MEA Smart life หรือที่ทำการ MEA ทั้ง 18 เขต 

เนื้อหาที่น่าสนใจ :

หากชำระค่าไฟฟ้าแล้วการไฟฟ้านครหลวงจะคืนเงินส่วนลดให้ในเดือนถัดไป ทั้งนี้ใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือนพฤษภาคม 2566 จะเป็นการจดหน่วยในวันใดวันหนึ่งระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2566

และจากที่มีประชาชนได้รับข้อความแอบอ้างเป็นการไฟฟ้านครหลวง เพื่อหลอกเก็บเงินค่าบริการต่างๆ นอกสถานที่ หรือล่อลวงให้รับบริการผ่านระบบออนไลน์ ให้คลิกลิงก์ต่างๆ ทาง MEA เผยวิธีสังเกต SMS ของการไฟฟ้านครหลวงที่ถูกต้อง โดยให้ประชาชนสังเกตบริเวณชื่อบุคคลผู้ส่ง โดยจะต้องระบุชื่อเป็น “MEA” เท่านั้น หากพบชื่อผู้ส่งเป็นตัวเลขเบอร์โทรศัพท์ หรือตัวอักษรที่ไม่ใช่การสะกดตามคำว่า “MEA” ขออย่าหลงเชื่อ ทั้งนี้ MEA ยืนยันว่าจะไม่ส่ง SMS ให้กับบุคคลทั่วไป ยกเว้นเป็นผู้ที่กำลังติดต่อธุรกรรมกับ MEA หรือรับบริการ MEA e-Bill อยู่เท่านั้น

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ