ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี เมื่อเจ้าพ่อถ่านหินอย่างประเทศอังกฤษ ตัดสินใจปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งสุดท้ายในประเทศ หลังจ่ายไฟมากว่า 57 ปี และเตรียมมุ่งหน้าสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างเต็มตัว
ถือเป็นก้าวครั้งสำคัญ เมื่อ “อังกฤษ” เจ้าพ่อถ่านหินของโลกตัดสินใจปิดโรงไฟฟ้าแห่งสุดท้ายในประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ที่ Ratcliffe-on-Soar ในเมืองน็อตติ้งแฮมฟอเรสต์ และผลิตไฟฟ้าแจกจ่ายให้อังกฤษมาเป็นระยะเวลา 57 ปี
การปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินในครั้งนี้ ทำให้อังกฤษเป็นชาติแรกในกลุ่มประเทศ G7 ที่ยุติการใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน
การยุติโรงไฟฟ้าถ่านหินถือเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ในการเปลี่ยนประเทศอังกฤษให้ก้าวสู่ยุคพลังงานทดแทน ภายในปี 2030
ไมเคิล แชนค์ส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของอังกฤษ เปิดเผยว่า “ยุคของถ่านหินกำลังสิ้นสุดลง ยุคพลังงานหมุนเวียนกำลังเริ่มต้นขึ้น”
ทางฟากของ ปีเตอร์ โอเกรดี ผู้จัดการโรงไฟฟ้าถ่านหิน เปิดเผยว่า “ผมเริ่มงานที่นี่เมื่อ 36 ปีที่แล้ว ไม่นึกเลยว่าวันนี้อังกฤษจะไม่ใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินอีกแล้ว”
ในตำราประวัติศาสตร์ที่ร่ำเรียนกันมา อังกฤษคือเป็นประเทศต้นกำเนิดของยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial revolution) โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1760-1840 หลังจากนั้น โลกก็ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักร มีโรงงานผุดขึ้นมากมาย และถือเป็นจุดกำเนิดยุคโลกร้อนอย่างเป็นทางการ
โดยข้อมูลจาก World Resource Institute ระบุว่า ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในปี 2022 สูงขึ้น 182 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1850 ซึ่งเป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อันเป็นต้นตอยุคโลกเดือด และโลกรวนแบบที่เราเผชิญกันอยู่ในทุกวันนี้
บทความจาก carbon brief ได้สรุปไว้ 5 เหตุผลด้วยกัน ดังนี้
ที่มา: The Guardian, Carbon Brief
ข่าวที่เกี่ยวข้อง