svasdssvasds

เปิดความเสียหาย ‘มลพิษพลาสติก’ ทะลุ 2.8 แสนล้านล้านUSD หากไม่แก้

เปิดความเสียหาย ‘มลพิษพลาสติก’ ทะลุ 2.8 แสนล้านล้านUSD หากไม่แก้

ไทยเคยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดในโลก พาเปิดความเสียหาย ‘มลพิษพลาสติก’ อาจทะลุ 2.8 แสนล้านล้านUSD หากไม่แก้

SHORT CUT

  • รู้หรือไม่? ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (single-use plastic) สูงมาก โดยเฉพาะถุงพลาสติก หลอด ขวดน้ำ กล่องโฟม
  • ที่สำคัญไทยเคยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดในโลก ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือ พลาสติกใช้เวลาย่อยสลายยาวนานนับร้อยปี
  • วันนี้จะพามาเปิดความเสียหาย ‘มลพิษพลาสติก’ อาจทะลุ 2.8 แสนล้านล้านUSD หากไม่แก้

ไทยเคยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดในโลก พาเปิดความเสียหาย ‘มลพิษพลาสติก’ อาจทะลุ 2.8 แสนล้านล้านUSD หากไม่แก้

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (single-use plastic) สูงมาก โดยเฉพาะถุงพลาสติก หลอด ขวดน้ำ กล่องโฟม ฯลฯ ส่งผลให้มีปริมาณขยะพลาสติกจำนวนมากที่ถูกทิ้งอย่างไม่เหมาะสม โดยไทยผลิตขยะพลาสติกประมาณ 2 ล้านตันต่อปี มีเพียงประมาณ 25% ของขยะพลาสติกที่ถูกรีไซเคิล ซึ่งไทยเคยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดในโลก ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือ พลาสติกใช้เวลาย่อยสลายยาวนานนับร้อยปี และขยะพลาสติกจำนวนมากไหลลงสู่แม่น้ำและทะเล ทำลายระบบนิเวศ ทำให้สัตว์ทะเล เช่น เต่า ปลา วาฬ กินพลาสติกเข้าไปจนตาย

ส่วนผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ ไมโครพลาสติกสามารถเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ทั้งนี้มีงานวิจัย พบว่า ไมโครพลาสติกถูกตรวจพบในน้ำดื่ม อาหารทะเล และแม้กระทั่งในเลือดมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บนเวที “END THE AGE OF PLASTIC: ยุติมลพิษพลาสติก” มีการพูดถึงพิษภัยในเรื่องนี้ โดย “พิชามญชุ์ รักรอด” หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า

ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศผู้นำของภูมิภาคอาเซียน นี่คือโอกาสที่สำคัญในการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนบนเวทีโลก ผ่านการผลักดันเป้าหมายและกรอบเวลาของการลดการผลิตพลาสติกใหม่ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกอย่างแท้จริง

เปิดความเสียหาย ‘มลพิษพลาสติก’ ทะลุ 2.8 แสนล้านล้านUSD หากไม่แก้

ซึ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เสียงของไทยสามารถเป็นพลังบวกที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโลกได้ หากเราเริ่มลงมือปฎิบัติ ด้วยความกล้า ไม่ย่อท้อและโอนอ่อนต่อแรงกดดัน เราจะไม่เพียงรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ได้ แต่ยังสร้างต้นแบบแห่งความยั่งยืนให้ภูมิภาคและโลกได้เห็นว่าไทยพร้อมเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง

แม้ประเทศไทยจะใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP เป็นตัวชี้วัดหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การมุ่งเน้นเพียงตัวเลขโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพของประชาชน กำลังกลายเป็นกับดักที่ย้อนกลับมาทำร้ายประเทศในระยะยาว การเพิ่มการผลิตพลาสติกอาจสร้างรายได้ระยะสั้นให้กับบางภาคส่วน แต่ในทางกลับกันกลับสร้างต้นทุนด้านสุขภาพ ภัยพิบัติ และความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่ภาครัฐและประชาชนต้องแบกรับ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจในโลกยุคใหม่จึงไม่อาจแยกขาดจากการคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้านได้อีกต่อไป

จากรายงานวารสาร Cambridge Prisms: Plastics [2] ระบุว่า แม้การลดการผลิตพลาสติกและลงทุนในทางเลือกที่ยั่งยืนจะมีต้นทุน แต่ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาวนั้นคุ้มค่าและชัดเจนกว่าการเพิกเฉย โดยมีการคาดการณ์ความเสียหายจากมลพิษพลาสติกอาจสูงถึง 14,000–282,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีการจัดการที่เป็นรูปธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกภายใต้กรอบเวลาที่ชัดเจน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วม สร้างความโปร่งใส และเสริมความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

“ฤณี อาชวานันทกุล” หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย กล่าวว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการผลักภาระต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การผลิตพลาสติกที่ไม่จำเป็นและไม่มีการควบคุมจะทำให้สังคมและสิ่งแวดล้อมเสียหายไร้ที่สิ้นสุด เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ เศรษฐกิจที่ดีต้องคำนึงถึงอนาคต และระบบการเงินที่เป็นธรรมต้องไม่สนับสนุนธุรกิจที่ทำร้ายอนาคตคนรุ่นหลัง

ด้าน “ชณัฐ วุฒิวิกัยการ” ผู้ก่อตั้ง KongGreenGreen กล่าวว่า พลาสติกชิ้นเดียวที่เราใช้แล้วทิ้ง อาจดูเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อสะสมจากคนทั้งประเทศ มันสามารถกลายเป็นวิกฤตระดับชาติได้ การเปลี่ยนแปลงสามารถเริ่มต้นได้จากการลงมือทำด้วยตัวเราเองแม้จะเป็นเพียงการปฏิเสธถุงพลาสติกหรือการพกแก้วส่วนตัว แต่เมื่อคนจำนวนมากร่วมมือกัน โลกของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

ขณะที่ ผศ.เพ็ญจันทร์ ละอองมณี รองคณบดีคณะเทคโนโลยีทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี กล่าวว่าพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในปัจจุบันไม่ได้ย่อยสลายหายไป แต่กลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ นโยบายลดการผลิตพลาสติกไม่ใช่เพียงการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่คือการปกป้องสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร และความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเลที่เราต้องพึ่งพา

อย่างไรก็ตามกรีนพีซ ประเทศไทย ได้มีการเรียกร้องให้ประเทศไทยกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกใหม่อย่างชัดเจนในระดับนโยบาย โดยเฉพาะในการประชุมเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก (INC-5.2) ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ประเทศไทยควรใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทนำของภูมิภาค และยืนหยัดเพื่อระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยมีประชาชนและธรรมชาติเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา

โดยสนธิสัญญาฉบับนี้จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกใหม่ลงอย่างน้อยร้อยละ 75 ภายในปี 2583 (ค.ศ. 2040) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยจำกัดอุณหภูมิพื้นผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม เป็นเกณฑ์สำคัญตามเป้าหมายของความตกลงปารีส ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามในความตกลงดังกล่าวไปเมื่อปี 2559

แน่นอนว่าการยุติมลพิษพลาสติกไม่ใช่ภาระของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่คือ ความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งสังคม และคือโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง สู่อนาคตที่สะอาด ยุติธรรม และยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related