SHORT CUT
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เตือนสถานการณ์น้ำเจ้าพระยา เข้าสู่ภาวะเฝ้าระวังใกล้ชิด หลังเขื่อนตอนบนมีระดับน้ำสูงเทียบเท่าปี 2554 และเตรียมปล่อยน้ำลงมา 2,500 ลบ.ม./วินาที จับตาระดับน้ำสูงช่วง 9-10 ต.ค.นี้
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. กล่าวถึงสถานการณ์ฝนและน้ำในปัจจุบันว่า สัปดาห์นี้แม้ร่องฝนยังไม่เข้ามาใกล้กรุงเทพฯ แต่คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะเริ่มมีฝนเพิ่มขึ้น ขณะนี้สิ่งที่น่ากังวลคือการระบายน้ำจากเขื่อนทางตอนบน ซึ่งขณะนี้มีระดับน้ำค่อนข้างสูงใกล้เคียงกับปี 2554 และคาดว่าจะทยอยปล่อยน้ำลงมาประมาณ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แม้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่จะทำให้ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นในช่วงวันที่ 9-10 ต.ค.นี้
การปล่อยน้ำดังกล่าวจะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นในช่วงวันที่ 9-10 ตุลาคมนี้ แม้สถานการณ์จะยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่จะกระทบต่อ ชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ
โดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
สำหรับการเตรียมพร้อมรับมือและให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น กรุงเทพมหานคร ได้เตรียมกระสอบทรายไว้แล้วกว่า 200,000 ลูก เพื่อกระจายไปยังจุดเสี่ยงต่างๆ พร้อมเน้นย้ำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงวันที่ 9–10 ตุลาคมนี้
นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้หารือกับนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และคณะผู้บริหาร สทนช. เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ และเตรียมการรองรับสถานการณ์ฝนตกหนักในช่วงครึ่งแรกของเดือนตุลาคม 2568 นี้
นายภราดร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำของประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงวิกฤต เนื่องจากมีปริมาณฝนตกสะสมในลุ่มน้ำต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จากอิทธิพลทางอ้อมของพายุหลายลูกติดต่อกัน ส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม สร้างความเสียหายต่อประชาชน จึงได้มอบหมายให้มีการติดตามสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเร่งด่วน
พร้อมหารือร่วมกับ สทนช. เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำในช่วงครึ่งแรกของเดือนตุลาคม เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า จะมีฝนตกเพิ่มขึ้นอีกครั้งจากอิทธิพลของหย่อมความกดอากาศต่ำ
รวมถึงขณะนี้เขื่อนขนาดใหญ่ในภาคเหนือ ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล มีแนวโน้มปริมาณน้ำใกล้เต็มความจุแล้ว โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ที่มีความเสี่ยงน้ำล้น จึงอาจต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน
นอกจากนี้ มวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนของประเทศจะไหลต่อเนื่องลงมาสมทบกับปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้เขื่อนเจ้าพระยาต้องเพิ่มการระบายน้ำ และอาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ปทุมธานี และนนทบุรี จึงได้เน้นย้ำให้ สทนช. ประสานกรมชลประทานเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง 15 วันนี้
โดยให้พิจารณาผันน้ำเข้าสู่ทุ่งที่เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ และต้องไม่กระทบต่อพื้นที่ชุมชน รวมถึงให้ติดตามข้อมูลคาดการณ์สภาพอากาศและปริมาณฝนที่จะตกเพิ่มในช่วงนี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจบริหารจัดการน้ำทั้งในพื้นที่เหนือและใต้เขื่อนเจ้าพระยา ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ เร่งระบายน้ำที่ท่วมขัง พร้อมทั้งปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนแต่ละแห่งให้สอดคล้องกัน เพื่อรักษาโครงสร้างเขื่อนให้มั่นคงแข็งแรง และลดผลกระทบให้เกิดกับประชาชนในทุกพื้นที่น้อยที่สุด
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยกำชับให้มีการพิจารณาหลักเกณฑ์และมาตรการชดเชยเยียวยาที่เหมาะสม โดยยึดอัตราไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา คือ 9,000 บาทต่อครัวเรือน และจะมีการวางแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป
ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนร่วมผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน
ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาจากกรมอุทกศาสตร์ โดยคาดหมายระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า และพื้นที่ใกล้เคียง ในระหว่างวันที่ 3 - 6 ตุลาคม 2568 เวลาประมาณ 16.00 - 18.00 น. เป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูง
โดยคาดหมายระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า และพื้นที่ใกล้เคียงอาจมีความสูงประมาณ 1.70 – 1.90 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำวิกฤติประมาณ 0.20 เมตร เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อน
ขณะที่ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนบางพื้นที่ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำจะเพิ่มสูงขึ้น เกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วม เนื่องจากน้ำทะเลหนุน บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง รวมถึงชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ และแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม นั้น
สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์
สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท
บริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ด้วยการหน่วงน้ำไว้ด้านเหนือ พร้อมรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง ตามศักยภาพของคลอง เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด
หากระดับน้ำทางตอนบนเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น จะแจ้งให้ทราบเป็นระยะต่อไป
ที่มา : กรมชลประทาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง