
SHORT CUT
แม้จะเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง แต่ปัญหาจากระบบพลังงานและวิกฤติน้ำของยุโรปอาจสร้างความเสียหายจนทำให้ GDP ลดลงถึง 8 เปอร์เซ็นต์
ผู้เชี่ยวชาญเตือน การขาดแคลนน้ำที่เกิดจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ กำลังทำลายความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของยุโรป พร้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน
ขณะที่รายงานจากแดนฟอส (Danfoss) ผู้ให้บริการออกแบบโซลูชันของเครื่องจักรเพื่อลดการปล่อยมลพิษและลดการใช้พลังงาน เผยว่าการบริโภคพลังงานในภาคส่วนน้ำคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2583 ขณะที่ความต้องการน้ำในภาคส่วนพลังงานอาจเพิ่มขึ้นเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้ประชากรหลายล้านคนเผชิญกับวิกฤติขาดแคลนน้ำ
พลังงานและน้ำเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
ทุกขั้นตอนของวัฏจักรน้ำต้องอาศัยพลังงาน ตั้งแต่การสูบ บำบัด ไปจนถึงการจ่ายน้ำไปยังบ้านเรือนและการเปิดก๊อกน้ำเพื่อใช้งาน
เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้น ความต้องการน้ำจืดก็เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าเราจำเป็นต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการสูบ บำบัด และจ่ายน้ำ ซึ่งปัจจุบันภาคพลังงานคิดเป็นประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำจืดที่สูบทั่วโลก
การพึ่งพาอาศัยกันนี้หมายความว่า หากเกิดปัญหาในระบบหนึ่ง ก็จะส่งผลโดยตรงต่ออีกระบบหนึ่งทันที เช่น ปัญหาการขาดแคลนพลังงานอาจจำกัดการดำเนินงานด้านน้ำประปา ขณะที่ภัยแล้งและคลื่นความร้อนอาจเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของการผลิตไฟฟ้าด้วย
ผู้เชี่ยวชาญจึงเตือนอย่างจริงจังว่า ยุโรปไม่สามารถที่จะแยกการจัดการระบบเหล่านี้ออกจากกันได้อีกต่อไป
วิกฤติน้ำในยุโรป สร้างมูลค่าความเสียหายมากแค่ไหน?
การเพิกเฉยต่อปัญหาด้านน้ำและพลังงาน มีความเสี่ยงที่จะส่งผลให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น และอาจทำให้GDPในประเทศที่มีรายได้สูงลดลงถึง 8 เปอร์เซ็นต์ หรือ 10-15 เปอร์เซ็นต์ในประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่า ภายในปี 2593
ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปส่วนใหญ่อาจต้องใช้จ่ายเพิ่มอีกอย่างน้อย 500 - 1,000 ยูโรต่อคนภายในปี 2030 สำหรับการจ่ายน้ำและสุขาภิบาล เพียงเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากผลกระทบทางการเงินแล้ว วิกฤติน้ำยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน เสถียรภาพโครงสร้างพื้นฐาน และความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าถึงน้ำหรือพลังงานในราคาที่เข้าถึงได้จำกัดอาจนำไปสู่ความยากลำบากและความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่ต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้าหรือทรัพยากรน้ำร่วมกัน
ผู้เชี่ยวชาญจึงชี้ว่า เราต้องการกฎระเบียบที่เข้มงวด ตั้งเป้าหมายด้านประสิทธิภาพในการใช้น้ำ และระบบจูงใจที่จะกระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น การตรวจจับการรั่วไหล การจัดการแรงดัน และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน