
SHORT CUT
เมื่อสายรัดข้อมือ หรือ ริสแบรนด์ เกือบกลายเป็นจุดจบของชีวิต 'เต่าสิมิลัน' ตัวหนึ่ง โชคดีที่มันรอดชีวิตมากได้ จากความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวของนักท่องเที่ยว
มนุษย์เรามักพูดกันว่าการท่องเที่ยวคือการเปิดโลก แต่บางครั้งโลกที่เราไปเปิด 'ความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว' หรือ 'ภาพถ่ายสวยๆ' หนึ่งใบ กลับถูกทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์เอง และอาจต้องแลกด้วยชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกนี้มานานกว่าเราหลายล้านปี?
กรณีล่าสุด ที่นักท่องเที่ยวได้ยื่น สายรัดข้อมือ (wristband) ให้เต่าทะเลกินระหว่างดำน้ำตื้นบริเวณหมู่เกาะสิมิลัน สร้างความสะเทือนใจอย่างมาก เพราะความไม่รู้ของเต่าทีคิดว่าเป็นอาหาร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ติดตามจนพบเต่าทะเลตัวดังกล่าวบริเวณเกาะห้า–เกาะหก ก่อนนำส่งยังท่าเรือทับละมุ เพื่อส่งต่อให้ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน รักษาอย่างเร่งด่วน
นี่เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่า 'ความสนุกของมนุษย์' คือพิษร้ายแรงที่สุดของระบบนิเวศ
ข้อมูลจาก ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ระบุถึงเหตุการณ์นี้ เป็นการกระทำที่เป็นอันตรายถึงชีวิตต่อสัตว์ทะเลหายาก สายรัดข้อมือยาง ที่กว้างถึง 20 เซนติเมตร เข้าไปติดอยู่ในทางเดินอาหารของเต่าทะเล ทีมสัตวแพทย์ต้องใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างหนัก ทั้งการฉายรังสี (X-ray) และการกลืนสารทึบรังสี (Barium) เพื่อเฝ้าติดตามตำแหน่งของวัตถุแปลกปลอมนี้แบบวันต่อวัน
โชคดีที่วันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมาเต่าทะเลสามารถขับอุจจาระออกมาได้ เป็นสายรัดข้อมือสีเหลืองพร้อมชื่อ 'บริษัททัวร์นำเที่ยว' แต่ยังมีใบสับปะรด เม็ดมะละกอ และใบตอง ซึ่งบนฝั่งอาจดูเป็นอาหารตามธรรมชาติ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เต่าทะเลจะหาทานเองได้ในท้องทะเล และเป็นอันตรายมากเพราะเป็นพืชที่ไม่สามารถย่อยในทางเดินอาหารได้
มันคือ 'เศษอาหาร' ที่มนุษย์หยิบยื่นให้ด้วยความเอ็นดูที่ผิดที่ผิดทาง
การที่มนุษย์ชอบยื่นอาหารให้สัตว์ เป็นการสร้างความคุ้นเคยที่ผิดธรรมชาติ เมื่อสัตว์เรียนรู้ว่ามนุษย์คือแหล่งอาหาร พวกมันจะเลิกหาอาหารเอง และรอเข้าหาสิ่งที่มนุษย์ยื่นให้โดยไม่คัดกรอง กรณีนี้ เต่าโชคดีที่ระบบขับถ่ายยังทำงานได้ แต่ก็ใช้เวลามากถึง 27 วันในการขับมันออกมา
ไม่ใช่เต่าทุกตัวจะโชคดีเหมือนเคสสิมิลัน ปี 2565 ลูกเต่าทะเลหายาก 11 ตัว ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียง 1 เดือน ลอยติดแพขยะขนาดใหญ่อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามช่วยชีวิต แต่พวกมันยังเด็กและอ่อนแอเกินไปและตายทั้งหมด เมื่อชันสูตร พบว่าลูกเต่าตัวน้อยทุกตัวมีขยะอยู่ในทางเดินอาหาร แม้จะได้รับการรักษา แต่พวกมันก็ไม่สามารถขับถ่ายเพื่อนำขยะเหล่านี้ออกมาได้ จึงทำให้ทางเดินอาหารอุดตัน ไม่ย่อยและตายในที่สุด
เว็บไซต์ Fair Planet ซึ่งเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับ 'ขยะทะเล' จากองค์กรอนุรักษ์ท้องทะเล (The Ocean Conservancy) พบว่า ข้อมูลจาก ปี 2020-2021 ในแต่ละปีสัตว์น้ำกว่า 100 ล้านชีวิตต้องจบชีวิต โดยมีสาเหตุมาจากขยะพลาสติกที่อยู่ในมหาสมุทร และมีสัตว์น้ำ 100,000 ชีวิตตายจากการถูกพลาสติกพันหรือห่อหุ้มจนขาดอากาศหายใจ
แม้ขยะชิ้นน้อยเหล่านี้จะเล็กในสายตามนุษย์เพียงใด แต่มันก็สร้างความเจ็บปวด ความทรมานให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้
เราต้องเปลี่ยนนิยามของการเป็น 'นักท่องเที่ยวที่ดี' ใหม่ การดูแลธรรมชาติไม่ใช่แค่การไม่ทิ้งขยะ แต่คือการ 'ไม่แทรกแซง' ธรรมชาติและระบบนิเวศ
บทเรียนราคาแพงครั้งนี้ใช้ทั้งงบประมาณรัฐ ทีมสัตวแพทย์ และเวลาเกือบเดือน เพื่อแก้ปัญหาความคึกคะนองเพียงเสี้ยวนาทีของมนุษย์ การไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นเรื่องดี แต่ต้องไม่ใช่การโยนภาระให้สิ่งมีชีวิตอื่น ระบบนิเวศที่เปราะบางแบบนี้ บางทีการ 'มองเฉยๆ' และ 'ไม่ให้อาหาร' นั่นแหละ คือการแสดงความรักต่อธรรมชาติที่จริงใจที่สุดแล้ว