
SHORT CUT
ทั่วโลกเตรียมเฉลิมฉลองส่งท้ายปี 2025 แต่บางพื้นที่ในหลายประเทศกลับต้องใช้ชีวิตท่ามกลางมลพิษทางอากาศที่แม้จะหายใจยังทำได้ยากลำบาก พาไปสำรวจ 5 ประเทศที่กำลังเผชิญวิกฤตฝุ่นมลพิษอย่างหนักในช่วงปลายปีนี้
ลาฮอร์, ปากีสถาน
เมืองลาฮอร์ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของปากีสถาน กำลังเผชิญกับฤดูหนาวแห่งหมอกควัน เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาอมน้ำตาล และอากาศมีรสชาติคล้ายโลหะ ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมของอนุภาคขนาดเล็กและก๊าซที่เป็นกรดในอากาศ จนทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณปากและลำคอ
ปัจจุบันชาวปากีสถานมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยด้วยภาระโรคที่เกิดจากฝุ่นควันมลพิษ จนได้รับการประเมินให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศสูงที่สุด โดยมีปริมาณอนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศสูงกว่าขีดจำกัดที่แนะนำไว้มาก
ปักกิ่ง, จีน
คุณภาพอากาศในประเทศจีนยังคงอยู่ในระดับแย่มาก โดยเมืองใหญ่หลายแห่งมีคุณภาพอากาศอยู่ในระดับ 'ไม่ดีต่อสุขภาพ' อย่างรุนแรง และมีปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 สูงเกินระดับอันตราย ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพต่อผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ ทำให้ทางการต้องประกาศเตือนให้ประชาชนงดกิจกรรมกลางแจ้ง ปิดหน้าต่าง สวมหน้ากากอนามัย และใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน
เดลี, อินเดีย
คุณภาพอากาศในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย และพื้นที่ใกล้เคียงยังคงอยู่ในระดับอันตราย ท่ามกลางหมอกควันที่ปกคลุมเมืองมาหลายวันแล้ว ทั้งยังมีระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่อาจอุดตันปอด และมลพิษอื่นๆ สูงกว่าขีดจำกัดที่องค์การอนามัยโลกแนะนำถึงกว่า 25 เท่า ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ ทำให้ทางการต้องประกาศใช้มาตรการต่างๆ เช่น ให้พนักงานทำงานจากบ้าน หรือห้ามรถยนต์บางชนิดขับเข้าในตัวเมือง
ฮานอย, เวียดนาม
โรงงานอุตสาหกรรมในกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม กำลังเผชิญกับแรงกดดันให้ลดขนาดการดำเนินงานลง หลังทั้งเมืองเผชิญกับหมอกควันหนาแน่นมานานกว่า 1 สัปดาห์ ทำให้ประชาชนหลายคนพบอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นควัน โดยเฉพาะอาการคันบริเวณดวงตา
ขณะที่ทางการระบุว่า การขนส่ง การผลิตภาคอุตสาหกรรม กิจกรรมการก่อสร้าง และการเผาขยะ คือแหล่งที่มาหลักของมลพิษทางอากาศ จึงประกาศการบังคับใช้มาตรการห้ามใช้รถจักรยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซินในเขตใจกลางเมือง โดยจะเริ่มในช่วงกลางปี 2026 นี้
กาฐมาณฑุ, เนปาล
แม้จะมีที่ตั้งอยู่ในหุบเขา แต่เมืองกาฐมาณฑุของเนปาลก็เผชิญกับปัญหาฝุ่นควันระดับรุนแรงมาเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาการเผาตอซังและเศษวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร จนติดอันดับเมืองที่มีคุณภาพอากาศเลวร้ายที่สุดของโลกตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคม ก่อนจะค่อยๆ ลดลงแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ขณะที่รายงานของธนาคารโลกระบุว่า มลพิษทางอากาศทำให้ช่วงอายุเฉลี่ยของประชากรเนปาลสั้นลงกว่าสามปี และนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเกือบ 26,000 รายในแต่ละปี
ส่วนประเทศไทยนั้น ทั้งเมืองหลวงอย่างกรุงเทพ และเชียงใหม่ ต่างมีสถานการร์ด้านมลพิษที่ต้องจับตา โดยมีระดับของฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ราว 70-85 ในช่วงหลายสัปดาห์มานี้ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ควรลดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง