SHORT CUT
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เผย ไทย ‘ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก’ ได้แล้ว 73.6125 MtCO2eq และมีเข้าร่วม T-VER จำนวน 547 โครงการ
มาถึงตอนนี้แล้วต้องบอกได้คำเดียวว่า…ประเทศไทยกำลังเดินลดการปล่อยก๊าซฯเรือนกระจก อย่างหนักหน่วงเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และต้องยอมรับว่าฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องการลดปล่อยก๊าซฯเรือนกระจก ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นก็คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ให้บริการทางวิชาการ และกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวัด การรายงาน และการทวนสอบ และให้การรับรองปริมาณการปล่อย การลด/กักเก็บ และการชดเชยก๊าซเรือนกระจก (GHG Certify Body)
อีกทั้งส่งเสริมการพัฒนาโครงการและการตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง เป็นศูนย์กลางข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานการณ์ดำเนินงานด้านก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนให้คำแนะนำแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เผยแพร่และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจัดการก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ล่าสุดได้มีการจัดงานแถลงผลการดำเนินงาน และทิศทางในอนาคตของ TGO ภายใต้ กิจกรรมสื่อมวลชนสัมพันธ์ ประจำปี 2568 “TGO ONE NIGHT UNDERSTAND” เพื่อแถลงผลการดำเนินงาน ในปี 2568 ทิศทางนโยบายและภารกิจในอนาคต โดยได้รับเกียรติจาก นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการ TGO และ ดร.ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อำนวยการ TGO และคณะผู้บริหารของ อบก. เข้าร่วม
ทั้งนี้ TGO มีผลการดำเนินงาน และทิศทางการดำเนินงาน ดังนี้
การติดตามและประเมินผลการลดก๊าซเรือนกระจกจากมาตรการของประเทศ TGO ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (สส. สนพ. สนข. คพ. กรอ. และ สศก.) ดำเนินการติดตามประเมินผลการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับมาตรการ/นโยบายของประเทศ เพื่อรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาวิธีการคำนวณ
และกระบวนการตรวจวัด รายงาน และทวนสอบ (Measurement, Reporting and Verification: MRV) สำหรับมาตรการที่มีศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติม โดยดำเนินการติดตามประเมินผลการลดก๊าซเรือนกระจกจาก 5 สาขา ประกอบด้วย สาขาพลังงาน สาขาคมนาคมขนส่ง สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ สาขาการจัดการของเสีย และสาขาเกษตร โดยใช้ข้อมูลผลการดำเนินงานปี พ.ศ. 2566 ในเบื้องต้น พบว่า ประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 73.6125 MtCO2eq
ส่วนการการยกระดับมาตรฐานโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) เทียบเท่ามาตรฐานสากล โดยปัจจุบันโครงการ T-VER มีมาตรฐาน 2 ระดับ คือ “โครงการ Standard T-VER” และ “โครงการ Premium T-VER” ซึ่งโครงการ Standard T-VER มีโครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งหมด 547 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ เท่ากับ 14,244,207 tCO2eq/year มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง เท่ากับ 22,219,913 tCO2eq สำหรับโครงการ Premium T-VER มีโครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งหมด 4 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ เท่ากับ 19,517 tCO2eq/year
นอกจากนี้ TGO ได้ส่ง Premium T-VER ไปยังองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ เพื่อพิจารณาให้คาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจากโครงการ Premium T-VER เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการบินภายใต้มาตรการ CORSIA ได้
โดยโครงการคาร์บอนเครดิตที่มีความโดดเด่น ได้แก่ โครงการคาร์บอนเครดิตธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฝ่ายกิจการสาขาภาคตะวันออก) เป็นโครงการ T-VER ภายใต้การดำเนินงานของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) มีขอบเขตการดำเนินงานในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคตะวันออก โดยกลุ่มโครงการย่อยที่ 1 ภายใต้แผนงานฯ (โครงการฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER แล้วเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 มีเกษตรกรสมาชิกธนาคารต้นไม้ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 61 ราย คิดเป็นพื้นที่ 587.32 ไร่ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ 302 tCO2eq/year
นอกจากนี้ ธกส. มีการขยายผลการดำเนินงานไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER แบบแผนงาน เพิ่มอีก 8 โครงการ รวมทั้งหมด 9 โครงการ มีเกษตรกรสมาชิกเข้าร่วมกว่า 584 ราย พื้นที่รวมทั้งหมด 7,012.89 ไร่ ในพื้นที่ 12 จังหวัด มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ เท่ากับ 2,930 tCO2eq/year และโครงการการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่า และความเสื่อมโทรมของป่า และการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง จังหวัดเพชรบุรี เป็นป่าชุมชนแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER
ซึ่งมีกรมป่าไม้เป็นเจ้าของโครงการ และผู้พัฒนาโครงการ โดยมี TGO ให้การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ และงบประมาณในการพัฒนาโครงการ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2558 มีพื้นที่ป่าชุมชนเข้าร่วมโครงการเท่ากับ 1,397 ไร่ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ เท่ากับ 743 tCO2eq/year มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้การรับรอง เท่ากับ 5,259 tCO2eq โดยมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตสร้างเงินรายได้เข้าสู่ป่าชุมชนกว่า 7.099 ล้านบาท ปัจจุบันมีโครงการป่าชุมชนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER แล้วทั้งหมด 51 โครงการ โดยมีป่าชุมชนเข้าร่วมกว่า 245 ป่าชุมชน คิดเป็นพื้นที่ป่าชุมชน 245,980.29 ไร่ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ เท่ากับ 139,276 tCO2eq/year
สำหรับในปีงบประมาณ 2568 (ข้อมูล 1 ต.ค. 67 - 30 มิ.ย. 68) TGO ส่งเสริมให้มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตแล้ว ในปริมาณ 275,856 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 28,936,744 บาท นอกจากนี้ TGO ได้การจัดทำ “รายงานผลสำรวจตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจประเทศไทยปี 2568 (The 2025 Thailand’s Voluntary Carbon Market Outlook)” ซึ่งทำการสำรวจพฤติกรรมของผู้เล่นและผู้ที่สนใจในตลาดคาร์บอนของประเทศไทย โดยมีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 263 ราย ครอบคลุมองค์กร 254 แห่ง ซึ่งประเด็นสำคัญที่ค้นพบจากผลการสำรวจ คือ ผู้ซื้อส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อคาร์บอนเครดิตเพราะต้องการนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร แต่มีปริมาณที่ต้องการซื้อและชดเชยอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง
ทั้งนี้ 78% ชดเชยต่ำกว่า 5,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทั้งนี้ มากกว่า 50% เน้นการซื้อแบบวางแผนล่วงหน้า โดยช่องทางการซื้อคาร์บอนเครดิตที่ดำเนินการอยู่คือผ่านรูปแบบ OTC และนิยมคาร์บอนเครดิตภายใต้มาตรฐาน T-VER เป็นหลัก และ มากกว่า 50% ยินดีซื้อคาร์บอนเครดิตในช่วงราคา 50 – 200 บาท/tCO2eq เนื่องจากเป็นราคาที่คุ้มค่าในการลงทุน และสอดคล้องกับราคาตลาดในไทยและต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อส่วนใหญ่มีพฤติกรรมรอดูสถานการณ์ (Wait and See) จากการบังคับใช้ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะภาคเอกชนไม่มีแรงจูงใจที่ชัดเจนหรือเพียงพอในการเข้าซื้อคาร์บอนเครดิตอย่างต่อเนื่องทั้งจากมิติของแรงผลักดันทางกฎหมาย สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือแรงจูงใจจากภาคการเงินและการลงทุนทำให้ความต้องการขยายตัวอย่างจำกัด
สำหรับการสนับสนุนผู้ส่งออกไทย..เตรียมความพร้อมรับมือมาตรการ CBAM โดย TGO ได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม “CBAM-CFP Platform” ขึ้นสำหรับใช้เป็นระบบคำนวณค่า Embedded Emissions ของสินค้า เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการไทยให้สามารถดำเนินงานได้สอดคล้องกับมาตรการ CBAM โดยการเตรียมพร้อมของข้อมูล และมีความเข้าใจในการรายงานค่า Embedded Emissions ไปยังสหภาพยุโรป โดยแพลตฟอร์มได้รับการออกแบบให้การใช้งานได้ง่าย มีความถูกต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ CBAM โดยจะมีการเปิดใช้งานปลายปี พ.ศ. 2568
ส่วนการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยมีการติดตามและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน มี อปท. จำนวน 334 แห่ง ที่สามารถประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรและกำหนดแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความมุ่งมั่นสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การพัฒนาแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด ส่งเสริมให้แต่ละจังหวัดจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับบริบทของจังหวัดนั้น ๆ ในปีงบประมาณ 2566-2567 TGO ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนสิ่งแวดล้อม สผ. ร่วมมือกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) 76 จังหวัด ในการจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของจังหวัดจนเสร็จสมบูรณ์ทั้ง 76 จังหวัด พร้อมทั้งยังได้ขยายผลให้จังหวัดมีการตั้งเป้าหมาย Net Zero GHG Emission ซึ่งในปัจจุบันมีจังหวัดที่มีเป้าหมายดังกล่าวแล้วทั้งหมด 32 จังหวัด
ในอนาคต TGO มีแนวคิดที่จะพัฒนานวัตกรรมระบบการรับรอง ชุมชนและเมืองคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่ โดยชุมชนและเมืองที่ได้รับการรับรองจะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เมืองและชุมชนเหล่านั้นได้เข้าถึงแหล่งทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การยกระดับมาตรฐานการอบรมสู่สากล TGO โดย สถาบันวิทยาการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (TGO Climate Action Academy: CAA) ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 สำหรับการให้บริการฝึกอบรมด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก ครอบคลุมทั้งการฝึกอบรมในสถานที่และออนไลน์ และ CAA ยังผ่านการตรวจประเมินรักษาระบบมาตรฐาน (Surveillance) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ยืนยันถึงคุณภาพการให้บริการและความมุ่งมั่นในการพัฒนามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2568 (จนถึงไตรมาส 3) CAA ได้จัดการอบรมแล้ว 5 หลักสูตร กว่า 20 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมอบรมสะสม 1,677 คน มีระดับความพึงพอใจเฉลี่ย 91.81%
การสร้างเครือข่ายวิทยากรและหน่วยฝึกอบรมภายนอก CAA ได้ประกาศ “ขึ้นทำเนียบวิทยากรในหลักสูตรฝึกอบรมตามกลไก อบก.” และประกาศ “มาตรฐานหลักสูตรฝึกอบรมที่ อบก. ให้การยอมรับและการเป็นหน่วยฝึกอบรมภายนอกตามกลไก อบก.” เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพ ได้มีส่วนร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก และรองรับความต้องการในการเข้ารับการฝึกอบรมกับ TGO ที่มีเป็นจำนวนมาก และรองรับกฎหมายรายงานที่จะเกิดขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รู้ทันกลโกงมิจฉาชีพหลอกซื้อ-ขาย “คาร์บอนเครดิต” อบก. ย้ำไม่มีเรียกรับเงิน
อบก. ยกย่องความมุ่งมั่นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนที่งาน Asia Investment Forum
อบก. ยกระดับคาร์บอนเครดิตไทย สร้างเศรษฐกิจไทยยั่งยืนสู่อนาคต