เบื่อกันไหมที่ต้องเผชิญกับ ฝุ่น PM 2.5 ทุกปี? ถึงเวลาแล้วที่ผู้บริโภคต้องตระหนักถึงสิทธิในการเรียกร้องอากาศสะอาด ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่เราไม่ควรมองข้าม
เบื่อกันหรือยัง ที่ทุกสิ้นปี-ต้นปี ฤดูฝุ่นจะเวียนกลับมาทุกครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็ทำคนไทยเจ็บป่วยล้มตายจากฝุ่น PM 2.5 ถึงเวลาหรือยังที่...พวกเราในฐานะผู้บริโภคจะมีสิทธิในการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดี และปลอดภัย
เราทุกคนในฐานะผู้บริโภคควรมีสิทธิพื้นฐานในการใช้ชีวิตและหายใจใน ‘อากาศสะอาด' มิใช่หรือ นี่เป็นสิทธิที่ไม่ควรถูกมองข้าม การมีอากาศสะอาดหายใจ ถือเป็นคุณภาพชีวิตที่เราทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียมกัน
แต่หากเราย้อนไปดูคุณอากาศอากาศในเดือนมกราคม 2568 ‘กรุงเทพฯ ไม่มีวันอากาศดีเลย’ กลับกัน วันที่อากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ ‘ระดับสีแดง’ เพิ่มขึ้นจาก 3 วัน ในปี 2567 เป็น 7 วัน ในปี 2568
ในขณะที่พี่น้องชาวภาคเหนือ ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า ราว 20 จังหวัดมีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางฝุ่น PM 2.5 ระดับสีแดง นานถึง 12 วัน
อย่างไรก็ดี ‘ฝุ่น PM 2.5’ หรือ ‘ฝุ่นข้ามข้ามแดน’ คือปัญหาที่มีมานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการจัดการของภาครัฐที่แก้ปัญหาเป็นรายปีไปโดยที่ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างแท้จริงที่ต้นตอ และสิ่งที่พอจะคัดง้างและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ถึงต้นตอได้ก็คือ ‘กฎหมายอากาศสะอาด’
สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … (ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ) ปัจจุบัน ถือว่ามีสัญญาณที่ดี เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพ.ร.บ.อากาศสะอาดอย่างเป็นทางการแล้ว และคาดการณ์ว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายในปี 2568
การพูดถึงเรื่องสิทธิผู้บริโภค เราต้องแยกแยะว่าอะไรคือสิทธิที่มีอยู่แล้ว แล้วอะไรคือสิทธิที่กำลังถูกผลักดันให้มี ดังนั้น เราขอชวนอ่านสิทธิที่ผู้บริโภคมีอยู่แล้วก่อน ยกตัวอย่างเช่น สิทธิที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น ได้รับข้อมูลคุณภาพอากาศในพื้นที่ หรือสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัย เช่น ได้รับสินค้าและบริการที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ
นอกจากนี้ยังมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชย กล่าวคือ ผู้บริโภคสามารถเรียกร้องค่าชดเชยได้หากได้รับความเสียหายจากมลพิษทางอากาศ และสามารถฟ้องร้องหน่วยงานรัฐที่เพิกเฉยต่อการแก้ปัญหาได้
ดังเช่น ที่เคยมีเคสที่ชาวเชียงใหม่ฟ้องว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลไม่มีมาตรการแก้ปัญหา สรุปแล้ว เคสนี้ ศาลตัดสินว่ารัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และสั่งให้รัฐบาลจัดทำแผนเพื่อแก้ปัญหาภายใน 3 เดือน
เมื่อครู่ที่กล่าวมาคือ สิทธิที่ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมายปัจจุบันแล้ว นั่นก็คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งผู้บริโภคสามารถดำเนินการให้รัฐช่วยตรวจสอบ หรือฟ้องร้องรัฐได้ กรณีแก้ไขปัญหาล่าช้า
ส่วนสิทธิที่กำลังถูกผลักดันให้มี (และควรมี) นั้นคือ ‘สิทธิที่จะได้รับการส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน’ ซึ่งเป็น 1 ใน 10 สิทธิผู้บริโภค ที่สภาผู้บริโภคได้เสนอปรับแก้ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ….
การบริโภคที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Consumption เป็นเรื่องที่ต่างประเทศให้ความสำคัญมานานแล้ว การบริโภคที่ยั่งยืนคือ การบริโภคสินค้าและบริการเพื่อสนองความต้องการที่จำเป็นต่อชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริโภคอย่างพอดีและให้เหลือทิ้งน้อยที่สุด ซึ่งเป็นการลดผลกระทบเชิงลบทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งต่อประเทศที่สะอาดให้กับคนในยุคถัดไป
อีกหนึ่งสิทธิที่ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ไม่ได้กำหนดไว้คือ สิทธิในการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย เช่น สิทธิในอากาศและน้ำสะอาด สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองจากมลภาวะ หรือสิทธิในการเข้าถึงพื้นที่สีเขียว เป็นต้น
การผลักดันเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้บริโภคได้ใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีอำนาจในการเรียกร้องและตรวจสอบการทำงานของทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ ทำให้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมีความทันสมัย สามารถรับมือกับปัญหาใหม่ ๆ ที่เกิดจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมได้
ดังนั้น จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ นี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้บริโภคทุกคนต้องตระหนักถึงสิทธิของตนเอง ทั้งสิทธิในการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย และสิทธิในการเข้าถึงอากาศสะอาด ซึ่งเป็นสิ่งที่กฎหมายในหลายประเทศให้การคุ้มครองอย่างจริงจัง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง