SHORT CUT
เปิดข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยล่าสุด เพชรบุรี-กาญจนบุรี ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยสุด กทม.–ชลบุรี แชมป์ปล่อยสูงสุด
ปัจจุบัน 76 จังหวัด ของประเทศไทยมีข้อมูล และแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว และในปีงบประมาณ 2568 ยังมีการขยายผลให้มีจังหวัดที่ตั้งเป้าหมาย Net Zero เพิ่มอีก 15 จังหวัด ทำให้ขณะนี้ประเทศไทยมีจังหวัดที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero รวมแล้วถึง 32 จังหวัด โดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือระดับท้องถิ่นและจังหวัด เพื่อให้การลดก๊าซเรือนกระจก ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2566–2567 อบก. ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการ “การพัฒนาศักยภาพสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อพัฒนาแผนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับจังหวัด โดยมีเป้าหมายของโครงการนี้คือให้แต่ละจังหวัดสามารถจัดทำ ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกำหนด แผนการลดก๊าซเรือนกระจก ของตนเองได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งบูรณาการการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่
ซึ่งจะดำเนินแผนงาน 4 แผนงาน ดังนี้
#กรุงเทพธุรกิจ รายงานเพิ่มเติม อ้างอิงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้ง 77 จังหวัด พบว่า 5 จังหวัดต่อไปนี้เป็นพื้นที่ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเมืองอุตสาหกรรมและศูนย์กลางเศรษฐกิจ
อันดับ 1 กทม. – มากกว่า 40 ล้านตัน CO₂e/ปี
ใช้ปีฐาน พ.ศ. 2556 (ภายใต้โครงการพัฒนาแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด) พบว่า มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 40 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y) โดย กรุงเทพฯ มีประชากรกว่า 5.4 ล้านคน ซึ่งหากนับรวมประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยรวมแล้วกว่า 10 ล้านคน ยิ่งทำให้เกิดกิจกรรมการผลิตและการบริโภคที่ส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยเฉพาะจากภาคพลังงานและการขนส่ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกินกว่า 80% ของการปล่อยทั้งหมด
อันดับ 2 ชลบุรี – มากกว่า 24 ล้านตัน CO₂e/ปี
จังหวัดศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในหัวใจหลักของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีการกระจุกตัวของนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก ส่งผลให้ชลบุรีมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 24 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
อันดับ 3 สระบุรี – มากกว่า 22 ล้านตัน CO₂e/ปี
สระบุรี เมือง “โรงปูน” ของประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดของไทย กระบวนการเผาหินปูนเพื่อผลิตปูนซีเมนต์ต้องใช้พลังงานมหาศาลและยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงจากปฏิกิริยาเคมี ร่วมกับการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก ทำให้สระบุรีมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 22 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
อันดับ 4 ระยอง – มากกว่า 18 ล้านตัน CO₂e/ปี
ระยองเมืองแห่งอาณาจักรปิโตรเคมีของประเทศไทย โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซ และโรงงานเคมีขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูงจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงและปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ รวมแล้วมีปริมาณมากกว่า 18 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
อันดับ 5 สมุทรปราการ – มากกว่า 14 ล้านตัน CO₂e/ปี
เมืองอุตสาหกรรมหนักริมชายฝั่งที่มีความหลากหลายของอุตสาหกรรม ตั้งแต่เหล็กกล้า อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงโรงงานเคมีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ทำให้มีทั้งโรงงานและประชากรอาศัยอย่างหนาแน่น กิจกรรมด้านการขนส่ง การใช้พลังงานในอาคาร และการจราจร ล้วนส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก รวมแล้วมีปริมาณการปล่อยมากกว่า 14 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)
ต่อมาพามาดูจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนจากผืนป่า และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งบางแห่งสามารถบรรลุ Net Zero ได้แล้ว ดังนี้
เพชรบุรีมีพื้นที่ป่าราว 64% ของพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะป่าแก่งกระจานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางธรรมชาติ “กลุ่มป่าแก่งกระจาน” ครอบคลุมกว่า 2.4 ล้านไร่ ทำหน้าที่เป็น “ปอดของประเทศ” โดยคาดการณ์ว่าสามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 16.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
กาญจนบุรีมีพื้นที่ป่าราว 67% หรือประมาณ 5.8 ล้านไร่ ครอบคลุมผืนป่าตะวันตกที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผืนป่าแห่งนี้สามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้ราว 5.86 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
แม้น่านเคยเผชิญปัญหาการบุกรุกป่าเพื่อปลูกข้าวโพดอย่างหนักในอดีต แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามฟื้นฟูป่าอย่างจริงจังจนพื้นที่ป่าปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นราว 60% หรือประมาณ 4.2 ล้านไร่ ส่งผลให้น่านสามารถลดและดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 4.96 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มี พื้นที่ป่ามากที่สุดในประเทศไทย คิดเป็น 85% หรือราว 7.3 ล้านไร่ แต่ป่ากว่า 40% อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม จากการบุกรุกเพื่อทำเกษตรและไฟป่าซ้ำซาก อย่างไรก็ดี หากสามารถฟื้นฟูป่าได้อย่างต่อเนื่อง พื้นที่ป่าของแม่ฮ่องสอนสามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 4.92 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
เชียงใหม่มีพื้นที่ป่าประมาณ 60% ครอบคลุมทั้งป่าธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติ เช่น ดอยอินทนนท์ และป่าชุมชนรอบพื้นที่เกษตร มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่า 3.94 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)
ที่มาข้อมูล: กรุงเทพธุรกิจ , อบก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง