svasdssvasds

'แสนสิริ' เปิดตัวโปรเจ็กต์ธุรกิจเพื่อสังคม'ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร'

'แสนสิริ' เปิดตัวโปรเจ็กต์ธุรกิจเพื่อสังคม'ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร'

แสนสิริ เปิดตัวโปรเจ็กต์ธุรกิจเพื่อสังคม'ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร' สร้างแรงกระเพื่อมเศรษฐกิจฐานรากขับเคลื่อนและผลักดันสู่ Sustainable Model วิสาหกิจเพื่อสังคมแก้วิกฤตยอดดอย – ต้นแบบพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง มูลค่าตลาดกว่า 30,000 ลบ. เติบโตอย่างทรงพลัง ปักหมุดที่ปอดของเอเชีย อ.กัลยาณิวัฒนา เชียงใหม่

"เมล็ดเล็กๆ" แห่งความหวัง สร้างแรงกระเพื่อมเศรษฐกิจฐานราก

สมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หนึ่งในแกนหลักการทำงานด้าน ESG ของแสนสิริมากว่า 40 ปี คือการดูแล 4 เสาหลัก ได้แก่ ลูกค้า พนักงาน คู่ค้า และสังคม ตอกย้ำแนวคิดมุ่งสร้างทุกวันให้ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อสังคมที่ดี ชุมชนแข็งแรง ซึ่งแต่ละโปรเจกต์ที่ทำ จะทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

 

สำหรับเรื่องกาแฟและชุมชนนี้ แสนสิริ ได้ให้การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมในด้านกาแฟและชุมชนในหลากหลายรูปแบบ เราเล็งเห็นความสำคัญของการสนับสนุนพืชเศรษฐกิจในชุมชนที่จะช่วยสร้างโอกาสทางอาชีพที่ยั่งยืนและส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ซึ่งการปลูกกาแฟพันธุ์ดีที่สามารถปลูกวนในระบบเกษตร ช่วยรักษาป่า ลดการเผาทำไร่เลื่อนลอย เป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนให้เกษตรกร และได้สนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ  ในปี 2557 แสนสิริได้ริเริ่มสนับสนุนกาแฟจากเกษตรดอยผาฮี้ จังหวัดเชียงราย มาผลิตเป็น “แสนสิริ ซิกเนเจอร์ เบลนด์ คอฟฟี่” เพื่อเสิร์ฟใน Sansiri Lounge สำนักงานขาย และเครือโรงแรม สนับสนุนกาแฟเทพเสด็จ ส่งประสบการณ์กาแฟท้องถิ่นให้แก่นักท่องเที่ยว ในงาน Chiangmai Coffee Week 2567 ริเริ่มโครงการ Future Harvest นำร่องสนับสนุนต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีจำนวน 5,200 ต้น ให้กับเกษตรกร 15 ราย ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินการต่อเนื่อง 2 ปี (2567-2568) 

\'แสนสิริ\' เปิดตัวโปรเจ็กต์ธุรกิจเพื่อสังคม\'ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร\'

ต่อมาแสนสิริได้มีโอกาสปรึกษากับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้รับคำแนะนำถึงแนวทางการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนต่อยอดการสร้าง Social Enterprise เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ จัดตั้งหน่วยงาน “วิสาหกิจเพื่อสังคมแบบไม่แสวงหากำไร” ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกิจกรรมหรือโปรเจกต์เพื่อสังคมให้มีความต่อเนื่อง สร้างรายได้ด้วยตนเองจากการดำเนินธุรกิจเพื่อไม่ให้ต้องพึ่งพาเงินบริจาคแต่เพียงอย่างเดียว และนำกำไรที่ได้จะกลับคืนสู่ชุมชนทั้งหมด จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร” เป็นแนวทางที่เราจะใช้พืชเศรษฐกิจอย่างกาแฟมาเป็นตัวเชื่อมโยงให้เกษตรกร และทุกภาคส่วนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้หันมายกระดับเศรษฐกิจฐานรากร่วมกัน โดยหวังว่าจะเป็นอีกตัวอย่างการสร้างกลไกเพื่อช่วยสร้าง

\'แสนสิริ\' เปิดตัวโปรเจ็กต์ธุรกิจเพื่อสังคม\'ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร\'

ความยั่งยืนของการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก กับชุมชนและสังคม ทั้งแบบท้องถิ่น และระดับประเทศแบบ ตลอดจนคาดหวังให้เกิดการผลักดันการทำงานอย่างจริงจัง และเติบโตด้วยตนเอง สร้างชุมชนให้แข็งแกร่ง และเป็นต้นแบบการทำงานของพืชเศรษฐกิจไทย

จากข้อมูลพบว่าการปลูกกาแฟเป็นส่วนสำคัญของการอนุรักษ์ป่าในภาคเหนือมากว่า 3 ทศวรรษ สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน แก้ปัญหาการย้ายถิ่นฐาน ด้วยการสร้างอาชีพและรายได้มั่นคงในชุมชน ลดการทำลายป่า ด้วยระบบการเกษตรที่เน้นอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ยกระดับคุณภาพชีวิต จากการเพิ่มมูลค่ากาแฟ 3-5 เท่าตัว (จาก 70 บาท เป็น 210-350 บาท/กก.) สร้างต้นแบบพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง

ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร จุดประกายอุตสาหกรรมกาแฟไทย

แสนสิริ วางแผนธุรกิจเพื่อสังคมที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ร่วมกับ ไร่แสนชัย - บีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ และที่ปรึกษาของสมาคมกาแฟพิเศษ โดยเราตั้งใจที่จะเปิดตัว “ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร” พร้อมไร่กาแฟต้นแบบบนพื้นที่กว่า 16 ไร่ ขึ้นที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่รวบรวมทุกองค์ความรู้ตั้งแต่ "ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ" ไว้ในที่เดียว ทำงานร่วมกับเกษตรกรได้อย่างใกล้ชิด ถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อทดลอง พัฒนา และเพาะสายพันธุ์กาแฟพิเศษ

\'แสนสิริ\' เปิดตัวโปรเจ็กต์ธุรกิจเพื่อสังคม\'ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร\'

“อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนคือ ชาวบ้านส่วนหนึ่งจะได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในศูนย์การเรียนรู้ฯ นี้ ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ รวมถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟ การเก็บเกี่ยว กระบวนการแปรรูปผลผลิตเพิ่มขึ้นนำความรู้มาพัฒนาการปลูกกาแฟของตัวเอง และเกิดการรวมกลุ่มกันขึ้น เพื่อพัฒนาการเพาะปลูกกาแฟให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังมีเป้าหมาย สร้าง "แรงดึงดูดกลับบ้าน" เมื่อกาแฟพิเศษมีราคาดี มีตลาดที่มั่นคง ชุมชนก็จะมี รายได้ที่ยั่งยืนและสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะกลายเป็น แม่เหล็ก ดึงดูดให้คนหนุ่มสาวที่เคยต้องจำใจจากบ้านไปเป็นแรงงานในพื้นที่ต่างๆ สามารถ "คืนถิ่น" กลับมาสานต่ออาชีพเกษตรกรรมด้วยความภาคภูมิใจ”

ศูนย์การเรียนรู้ฯ ตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี  (2569–2572) จะบรรลุเป้าหมายการเป็น 'ศูนย์ต้นแบบ' หรือSustainable Model ที่มีระบบถ่ายทอดองค์ความรู้ ตั้งแต่การปลูก, การแปรรูป (ผ่านนวัตกรรมอย่าง Biochar และการตรวจสายพันธุ์), การสร้างผลิตภัณฑ์ร่วมกับชุมชน, การวางระบบตลาดกลางที่ยุติธรรม จนถึงการบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และสามารถขยายผลและผลักดันองค์ความรู้ด้านกาแฟให้เป็นหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ สร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมกาแฟพิเศษในภาคเหนือและประเทศในวงกว้าง ยกระดับกาแฟพิเศษไทยสู่มาตรฐานระดับสากล จุดประกายและเป็นต้นแบบการทำพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงที่ภาคเกษตรอื่นสามารถปรับใช้ได้ สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน จากรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้น การคืนถิ่นของแรงงาน และการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และก้าวไปสู่ระดับเอเชียและระดับโลก โดยใช้คุณภาพและความยั่งยืนเป็นจุดขาย

เสียงจาก Ecosystem สู่ Specialty Coffee ไทยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ต้นน้ำ: ความรู้และการปลูกที่มีคุณภาพ

แสนชัย จูเปาะ เจ้าของไร่ Saen Chai Estate เกษตรกรต้นแบบ อ.กัลยาณิวัฒนา เปิดเผยว่า “กาแฟไทยไม่ได้แค่ดีขึ้นในเชิงเทคนิค แต่ดีขึ้นในมิติของวัฒนธรรม ความเข้าใจ และความเกื้อกูล เราเห็นชุมชนที่แข็งแรงเติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่ใครคนหนึ่งล้ำหน้า แต่อยู่ในจังหวะที่เกื้อหนุนกัน และกาแฟยังเป็นพืชที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยปกป้องคุณภาพดิน แหล่งน้ำ และระบบนิเวศโดยรอบ โดยเฉพาะ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นปอดของเอเชีย การปลูกกาแฟยังสอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น เป็นเหตุผลให้คนรุ่นใหม่ที่ไปศึกษาหรือทำงานในเมืองกลับมายังบ้านและครอบครัว เรามองว่าการปลูกกาแฟคุณภาพสูงด้วย Eco Farming ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยใช้ระบบปลูกใต้ร่มไม้ในป่า ซึ่งกาแฟอาราบิก้าต้องการเงาของต้นไม้บนที่สูง ช่วยป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งการก่อตั้งศูนย์ฯ แห่งนี้ เป็นการลงทุนในคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะนี่คือการสร้างโมเดลที่สามารถ เยียวยาสังคม และ ฟื้นคืนผืนป่า ได้อย่างยั่งยืน 

กลางน้ำ: การเพิ่มคุณค่าและควบคุมคุณภาพ

บริรักษ์ อภิขันติกุล ที่ปรึกษาโครงการศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมกาแฟพิเศษไทย กล่าวว่า เราอยากให้เกษตรกรไทยเข้าใจวิธีการผลิต และการต่อยอดไปสู่กาแฟพิเศษ  โดยเริ่มตั้งแต่ กระบวนการคัดเลือกเมล็ด การตากกาแฟ และการจัดการของเสีย เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กาแฟธรรมดากลายเป็น Specialty ที่มีคะแนน 85+ และราคาสูงขึ้น 3-5 เท่า ซึ่งเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และเครื่องมือในการควบคุมคุณภาพ  เรามั่นใจว่าโปรเจ็กต์ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรนี้ จะเป็นการเซ็ตมาตรฐานการทำงานของเราให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้เกษรตกร ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น สร้างความแข็งแกร่งกับอาชีพ 

ปลายน้ำ: การสร้างมูลค่าเพิ่ม

อัครินทร์  ศิวพรพิทักษ์ หนี่งในผู้ก่อตั้งบีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวที่บ้านมีไร่กาแฟ และทำโรงคั่วเอง จนกระทั่งมาร่วมกับเพื่อนๆ ทำร้านบีนส์ เราเชื่อว่ากาแฟที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่ยังเป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลาดโลกยอมรับคุณภาพกาแฟไทย แต่เราต้องช่วยกันสร้างระบบให้เกษตรกรเข้าถึงมาตรฐานนั้นได้ กระบวนการ (Process) ที่ได้คุณภาพ จะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรผ่านการยกระดับคุณภาพและการสร้างแบรนด์ นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรใหม่ ที่ผู้เยี่ยมชมสามารถเรียนรู้กระบวนการผลิตกาแฟตั้งแต่ต้นจนจบในที่เดียว  

\'แสนสิริ\' เปิดตัวโปรเจ็กต์ธุรกิจเพื่อสังคม\'ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร\'

“การร่วมมือกันทำงานครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างอาชีพที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งยังเป็นการใช้ข้อได้เปรียบของไทยที่มีห่วงโซ่การผลิตครบวงจร ตั้งแต่ยอดดอยจนถึงร้านกาแฟต่างๆ ที่เติบโตอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ และคาดว่าศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรแห่งนี้จะเป็น Sustainable Model ในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์–สินค้า ที่เชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม เป็นแหล่งรวบรวมสายพันธุ์กาแฟเพื่อศึกษา ทดลอง และกระจายพันธุ์ เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมกาแฟไทยกับนานาชาติ” สมัชชา กล่าวสรุป

related