svasdssvasds

รีวิว American Manhunt : Osama bin Laden สารคดี Netflix ไล่ล่าบุคคลที่เปลี่ยนโลก

รีวิว American Manhunt : Osama bin Laden สารคดี Netflix ไล่ล่าบุคคลที่เปลี่ยนโลก

American Manhunt: Osama bin Laden สารคดีที่ได้คะแนนรีวิวสูงมากๆจาก เว็บ Rotten Tomatoes – เพราะมันไม่ได้เล่าแค่ “ใครฆ่าใคร” แต่เล่าถึง มนุษย์ ที่ต้องล่าคนร้ายในโลกจริง ที่ทุกการตัดสินใจแลกมาด้วยชีวิต

American Manhunt: Osama bin Laden สารคดีที่ได้คะแนนรีวิวสูงมากๆจาก เว็บ Rotten Tomatoes – เพราะมันไม่ได้เล่าแค่ “ใครฆ่าใคร” แต่เล่าถึง มนุษย์ ที่ต้องล่าคนร้ายในโลกจริง ที่ทุกการตัดสินใจแลกมาด้วยชีวิต

12.6 ล้านวิวใน 5 วัน – แปลว่าอะไร ? 

ในช่วงเวลาที่ American Manhunt: Osama bin Laden เปิดตัวในต่างประเทศ แค่ไม่กี่วันบน Netflix แต่ซีรีส์สารคดี American Manhunt: Osama bin Laden ก็มียอดชมทะลุ 12.6 ล้านครั้ง กลายเป็น ที่สุดของสัปดาห์ (14–18 พ.ค. 2025) 

แถมคะแนนรีวิวจาก Rotten Tomatoes ยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับ “สารคดีประวัติศาสตร์ร่วมสมัย” ที่ไม่ได้มีแค่ภาพเก่า ๆ หรือคนพูดใส่กล้อง แต่ใส่ “แรงสั่นสะเทือน” ของการล่าคนหนึ่งที่กลายเป็น จุดเปลี่ยนของโลก

โดย American Manhunt: Osama bin Laden คือภาคล่าสุดของซีรีส์สารคดี American Manhunt ของ Netflix ซึ่งก่อนหน้านี้มีตอนที่เกี่ยวกับเหตุระเบิดบอสตันมาราธอน และคดีของ OJ Simpson

American Manhunt: Osama bin Laden สารคดี Netflix ที่ทำให้ “เรื่องการเมืองระดับโลก” กลายเป็น “เรื่องของมนุษย์”

3 ตอนจบ แต่พลังเทียบหนังโรง 

สารคดีนี้เล่า เหตุการณ์หลัง 9/11 ผ่านสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐอเมริกัน — CIA, FBI, กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ไปยันทำเนียบขาว — ที่ได้รับภารกิจ “ตามล่าผู้ก่อการร้ายที่อันตรายที่สุดในโลก”

ใช้ฟุตเทจจริง สัมภาษณ์ลึกซึ้ง เพลงประกอบที่ทำได้อย่างลงตัว ทำให้บรรยากาศการตัดสินใจของแต่ละคน ชวนลุ้นระทึก จนเหมือนดู หนังทริลเลอร์ มากกว่าสารคดี  โดยทั้ง 3 ตอนของสารคดีนั้น กินความยาวราวๆ 3 ชั่วโมงครึ่ง
 

ไม่ได้เล่า “สงคราม” — แต่เล่า “ภารกิจ” 

American Manhunt: Osama bin Laden ไม่ใช่ สารคดีซีรีส์ที่เล่าเรื่องสงครามอิรักหรืออัฟกานิสถานแบบภาพกว้าง ๆ 

แต่เป็นสารคดีที่ “ซูมอิน” ไปยังคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่รับภารกิจสุดระห่ำ นั่นคือ… ตามหาอุซามะห์ บิน ลาดิน ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์   Osama bin Laden ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เหตุวินาศกรรม 9/11  เมื่อปี 2001  ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย

“มันไม่ใช่เรื่องของอเมริกา แต่มันคือเรื่องของคนที่ต้องทำงานนี้...

งานที่เปลี่ยนชีวิตพวกเขา เปลี่ยนอเมริกา และเปลี่ยนโลก” – คำพูดของผู้กำกับ  Mor Loushy สารคดีชิ้นยอดเยี่ยมชิ้นนี้

เมื่อสารคดีทำให้เรา ต้องถามตัวเอง
เป้าหมายของผู้สร้างชัดเจน:

"เราต้องการให้คนดูรู้สึกเหมือนได้อยู่ตรงนั้น และถามตัวเองว่า  ‘ถ้าเป็นเรา จะตัดสินใจแบบเขาไหม?’”  เพราะวิธีเข้าใจประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น - แต่คือ “รู้สึก” ว่าเราจะทำอะไร…ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

เหตุการณ์จริง ฟุตเทจจริง คนจริง ความรู้สึกจริง

American Manhunt: Osama bin Laden ต่างจากสารคดี 9/11 เรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่เคยผลิตมา ที่มักเล่าเรื่องผ่านเหยื่อหรือครอบครัวผู้เสียชีวิต เรื่องนี้เล่า ผ่านเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ต้องรับมือกับคำถามหนัก ๆ เช่น...

“ทำไมถึงปล่อยให้เครื่องบินชนตึก?”
“ตามจับบิน ลาเดนได้แล้ว มันจบจริงเหรอ?”
“ราคาที่จ่ายไปมันคุ้มไหม กับความสูญเสียทั้งหมด?”

อีกจุดที่โดดเด่นของสารคดีนี้ คือ สารคดีซีรีส์เล่าความคืบหน้าของการเข้าใกล้บิน ลาดิน อย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนถึงจุดพีคในปี 2011  ในปฏิบัติการหอกเนปจูน (Operation Neptune Spear) หรือการบุกสังหารบิน ลาดิน ในที่กบดานในบ้านพัก ใน Abbottabad ปากีสถาน เจ้าหน้าที่หน่วย SEAL เปิดเผยให้เห็นถึงการซ้อม ด้วยการสร้างบ้านพักจำลองขึ้นมา แล้วฝึกการบุกในหลายรูปแบบ

สารคดีกลับทำให้ “เรื่องการเมืองระดับโลก” กลายเป็น “เรื่องของมนุษย์”

สารคดีกลับทำให้ “เรื่องการเมืองระดับโลก” กลายเป็น “เรื่องของมนุษย์”
เจ้าหน้าที่บางคนทำงานจนครอบครัวพัง
บางคนทำเพราะเสียเพื่อนไปในวันนั้น
บางคนรับแรงกดดันจากการถูกกล่าวหาว่า “หละหลวมจนทำให้ตึกถล่ม”

เรื่องพวกนี้อาจไม่มีในตำรา หรือข่าว 9/11 ที่คุณเคยดู
แต่ American Manhunt Osama bin Laden ใส่ไว้ครบ — พร้อมให้คนดูตัดสินเอง

ระหว่าง ชัยชนะ กับ คำถามในใจ 

แม้ภารกิจจะจบลงในปี 2011 กับการบุก “บ้านพักของบิน ลาเดน” แต่สิ่งที่เหลืออยู่ในใจของคนทำงาน - มันทำให้คนดูรู้สึกถึงความย้อนแย้งของชัยชนะ

และสงครามต่อสู้การก่อการร้ายจบลงแล้ว จริงหรือไม่ ? 

ที่มา :variety independent rottentomatoes

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related