รีวิวภาพยนตร์ One Battle After Another : หนึ่งศึกครั้งแล้วครั้งเล่า บาดแผลทางการเมืองในโลกที่ไม่เคยหายสนิท - อุดมการณ์สุดโต่งไม่ต่างอะไรกับมายาคติที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน
ในบรรดาผลงานของ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน (Paul Thomas Anderson – PTA) ที่เคยขุดลึกเข้าไปในประวัติศาสตร์อเมริกา อาทิ เรื่อง There Will Be Blood เมื่อปี 2007 แต่ครั้งนี้เขาเลือกหันกลับมามอง “ปัจจุบัน” และสร้างโลกที่สะท้อนบาดแผลทางการเมืองฟาดกันซึ่งๆหน้า ผ่านภาพยนตร์ One Battle After Another ซึ่งนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ
นี่ไม่ใช่เพียงหนังครบรส (แอ็คชัน,ตลก,อาชญากรรม,ดราม่า, ระทึกขวัญ) แต่เป็นงานที่กล้าหยิบยกประเด็น ความรุนแรงทางการเมืองขั้นสุด การเหยียดเชื้อชาติ และความเปราะบาง ไม่มั่นคงของหลักการประชาธิปไตย มาขยายให้เห็นอย่างเข้มข้นและยอดเยี่ยมมากๆ
ตัวภาพยนตร์ One Battle After Another ของ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน พาเราไปรู้จักตัวละคร บ็อบ เฟอร์กูสัน (Leonardo DiCaprio) อดีตนักรบฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง ที่เคยเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่ม “French 75” เพื่อต่อต้านรัฐ แต่เมื่ออุดมการณ์ล่มสลาย เขากลับต้องซ่อนตัวเลี้ยงลูกในเมืองเล็ก ๆ (จินตนาการถึงกลุ่ม French 75 ให้ลองนึกถึงกลุ่ม Black Panther Party ในสหรัฐอเมริกายุค 60s-70s , กลุ่ม กองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (IRA) ในไอร์แลนด์เหนือ หรืออาจเป็น องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) แบบนั้น )
ฝั่งตรงข้ามในหนัง คือ ผู้พันล็อคจอว์ ( ฌอน เพนน์ Sean Penn) นายทหารผู้ศรัทธาในแนวคิด white supremacy เชื่อใน “สายเลือดขาวบริสุทธิ์” แต่ความย้อนแย้งคือ เขากลับหลงใหลผู้หญิงผิวสีอย่าง เพอร์ฟีเดีย (Teyana Taylor) อย่างถอนตัวไม่ขึ้น รักแบบไม่มีอะไรมาขวางได้!
นี่คือการเสียดสียั่วล้อชัดเจนว่า อุดมการณ์สุดโต่งนั้นไม่ต่างอะไรกับมายาคติที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน
ในระดับภาพกว้างพอล โธมัส แอนเดอร์สัน ผู้กำกับ ใช้ตัวละครเหล่านี้เพื่อวิพากษ์ทั้งสองฝ่าย — ซ้ายที่หมดไฟและแตกสลาย กับขวาที่กดขี่และกลับตาลปัตร — และตั้งคำถามว่าการเมืองแบบ “ขาวหรือดำ” สุดท้ายก็พาไปสู่ความวุ่นวายไร้ทางออก
สิ่งที่หนังทำได้เฉียบคม คือการเปิดโปง “มายาคติของคนขาว” ที่ยังคงเชื่อว่าตนเหนือกว่าชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในอเมริกา เราได้เห็นภาพ ชุมชนผิวดำ, ลาติน, ชนพื้นเมืองอเมริกัน รวมตัวกันเพื่อต่อต้านการกดขี่ และเมื่อพวกเขาสามารถรวมพลังกันได้ มันคือการโต้กลับโดยตรงต่อ white supremacy
หนังจึงไม่ได้เล่าการเมืองในเชิงทฤษฎี แต่สะท้อน การต่อสู้ของผู้ถูกกดขี่ ที่มีเลือดเนื้อจริง และพาผู้ชมตั้งคำถามว่า ความเชื่อเรื่อง “ความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ” ยังมีที่ยืนอยู่ได้อย่างไร ในสังคมที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย
สิ่งที่ทำให้ One Battle After Another แตกต่างจากหนังการเมืองทั่วไปคือ ลายเซ็นของ PTA
สไตล์การเล่าเรื่อง ที่ไม่เดินตามสูตรบล็อกบัสเตอร์แบบ 100% เป๊ะๆ แต่เต็มไปด้วยการหักมุม จังหวะที่กดดัน และการแทรกเสียงดนตรีที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่มั่นคง เหมือน There Will Be Blood ในแบบร่วมสมัย
งานกำกับภาพ- บีบอารมณ์ผู้ชมให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสมรภูมิจริง และสิ่งที่โดดเด่นมากคือฉากขับรถไล่ล่าท้ายเรื่อง
หนังสามารถเปลี่ยนโทนได้อย่างน่าทึ่ง มันเป็นทั้งหนังทริลเลอร์ที่ระทึกขวัญ, หนังตลกร้ายที่ทำให้หลุดขำลั่นโรง , และเป็นหนังดราม่าการเมืองที่ชวนให้ขบคิดได้อย่างลึกซึ้ง การควบคุมบรรยากาศที่สวิงไปมาระหว่างความตึงเครียดและความบ้าบอคอแตกเช่นนี้ คือข้อพิสูจน์ถึงความเป็นยอดฝีมือของผู้กำกับ #PTA
นอกจากนี้ยังมีการแสดงอันทรงพลังจาก ลีโอนาโด้ ดิคาปริโอ DiCaprio ที่นำแรงบันดาลใจ ซึ่งเขาบอกเองว่า เอามาจากบทของ Al Pacino (Dog Day Afternoon) และ Jeff Bridges (The Big Lebowski) มาผสมผสานจนเกิดเป็น Bob Ferguson ตัวละครเด่นในเรื่องนี้ ที่ทั้งสิ้นหวังและขบถในเวลาเดียวกัน
ชื่อเรื่อง One Battle After Another ไม่ได้เป็นเพียงชื่อ แต่คือคำอธิบายถึงวงจรความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองซ้าย–ขวา หรือการต่อสู้เรื่องเชื้อชาติ หนังแสดงให้เห็นว่าความเชื่อสุดโต่งทั้งสองฝั่ง ล้วนไม่อาจนำพาไปสู่สันติภาพ
สิ่งที่ PTA มอบให้คือการสะท้อนภาพสังคมอเมริกา (หรืออาจจะเป็นภาพสะท้อนประเทศใดประเทศหนึ่งในโลกก็ได้) ที่ทั้ง โกรธ ขมขื่น แค้น แต่ก็ยังมีประกายแห่งความหวัง ผ่านชุมชนเล็ก ๆ ที่ยังคงช่วยเหลือกันท่ามกลางอำนาจรัฐที่กดขี่
ไม่เกินเลยที่จะบอกว่า One Battle After Another ไม่ได้เป็นเพียงหนัง แต่คือ ความเดือดพล่านและเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยวต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
และ วงจรความขัดแย้งที่ไม่รู้จบนี้ "พวกเราที่เหลือจะทำอะไรได้บ้าง ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิตวิทยาสี ในภาพยนตร์และซีรีส์ มีผลต่ออารมณ์-ความรู้สึกอย่างไรบ้าง ?
Netflix ทุ่ม 200 ล้านดอลลาร์ พลิกโฉมเศรษฐกิจ เปลี่ยนภาพลักษณ์ไทยบนเวทีโลกอย่างไรบ้าง ?