SHORT CUT
วงการภาพยนตร์โลกสูญเสีย โรเบิร์ต เรดฟอร์ด นักแสดง ผู้กำกับ และผู้บุกเบิกวงการหนังอิสระ ผู้ทรงอิทธิพล ที่เสียชีวิตอย่างสงบในวัย 89 ปี การจากไปของเขาเปรียบเหมือนการสิ้นสุดยุคสมัยของศิลปินผู้ใช้อิทธิพลเปลี่ยนแปลงโลกภาพยนตร์
วงการภาพยนตร์โลก สูญเสียหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุด เมื่อ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด Robert Redford นักแสดง ผู้กำกับ และผู้บุกเบิกวงการหนังอิสระ เสียชีวิตอย่างสงบในวัย 89 ปี ณ บ้านพักของเขาที่ซันแดนซ์ รัฐยูทาห์ ท่ามกลางครอบครัว การจากไปของเขาไม่ใช่เป็นเพียงการปิดฉากชีวิตของดาวดังแห่งฮอลลีวูด แต่คือการสิ้นสุดยุคสมัยของศิลปินผู้ใช้อิทธิพลของตนเพื่อเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของโลกภาพยนตร์ไปตลอดกาล
แม้ในยุคหลัง ผู้ชมรุ่นใหม่อาจคุ้นเคยกับเขาจากบทบาทเจ้าหน้าที่ CIA รุ่นเก๋าใน Spy Game (2001) ซึ่ง ณ เวลานั้นเขามีอายุถึง 65 ปีแล้ว
หรือในฐานะบทบาท อเล็กซานเดอร์ เพียร์ซ ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลอย่าง Captain America: The Winter Soldier (2014) ในจักรวาลหนัง Marvel หรือ MCU รวมถึงปรากฏตัวในหนังแห่งยุคสมัย Gen Z อย่าง Avengers: Endgame (2019) ในฉากย้อนเวลา มาแบบ Camio
แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่สะท้อนถึงการเป็นนักแสดงที่ไม่เคยหยุดนิ่งของเขา
แต่เส้นทางชีวิตของ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด คือบทพิสูจน์ของการเป็นมากกว่านักแสดง ตั้งแต่อดีตเลย...
โรเบิร์ต เรดฟอร์ดไม่ได้เป็นเพียงนักแสดงชายเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีฟ้าอันเป็นที่จดจำ จากยุค 60s แต่เขาก้าวขึ้นสู่สถานะซูเปอร์สตาร์ในช่วงยุค 70s ด้วยผลงานขึ้นหิ้งอย่าง Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969) ซึ่งบทบาท "ซันแดนซ์ คิด" ได้กลายเป็นชื่อที่สองของเขาไปตลอดชีวิต และภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้สร้างตำนานคู่หูบนแผ่นฟิล์มที่ยอดเยี่ยมที่สุดคู่หนึ่งร่วมกับ พอล นิวแมน ความสำเร็จยังคงต่อเนื่องใน The Sting (1973) ภาพยนตร์แนวหักเหลี่ยมเฉือนคมที่ยังคงความคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน และ The Way We Were (1973) ที่ตอกย้ำภาพลักษณ์พระเอกโรแมนติกขวัญใจมหาชนยุคนั้น
อย่างไรก็ตาม เรดฟอร์ดปฏิเสธที่จะถูกจำกัดอยู่แค่ภาพลักษณ์ "ชายหนุ่มหน้าตาดี" ที่สังคมมอบให้ ณ เวลานั้น
โรเบิร์ต เรดฟอร์ด มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่ลึกซึ้งและท้าทายสังคม ดังเช่นใน All the President’s Men (1976) ที่เขามิได้เป็นเพียงนักแสดงนำ แต่ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญเบื้องหลังโปรเจกต์ ภาพยนตร์ที่ตีแผ่คดีวอเตอร์เกตเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จด้านรางวัล แต่ยังได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนและเชิดชูบทบาทของสื่อมวลชนในการตรวจสอบอำนาจรัฐ
ความสำเร็จในฐานะนักแสดงเป็นเพียงบทบาทหนึ่งของเขา เรดฟอร์ดยังพิสูจน์ให้โลกเห็นถึงวิสัยทัศน์อันเฉียบคมในฐานะผู้กำกับ เมื่อผลงานเรื่องแรกของเขา Ordinary People (1980) สามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถอันรอบด้านของเขา
แต่บางที มรดกที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนที่สุดที่เรดฟอร์ดทิ้งไว้ให้แก่วงการภาพยนตร์ อาจไม่ใช่ผลงานการแสดงหรือการกำกับของเขา หากแต่คือการก่อตั้ง สถาบันซันแดนซ์ (Sundance Institute) ในปี 1981 และ เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ (Sundance Film Festival) ซึ่งถือกำเนิดจากความปรารถนาที่จะมอบโอกาสและพื้นที่ให้กับคนทำหนังอิสระรุ่นใหม่ ผู้มีเรื่องราวที่แตกต่างและกล้าที่จะท้าทายขนบของฮอลลีวูด
ซันแดนซ์ได้เปลี่ยนจากเวิร์กชอปเล็กๆ ในยูทาห์ กลายเป็นเทศกาลภาพยนตร์อิสระที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก
เป็นเวทีแจ้งเกิดให้กับผู้กำกับระดับตำนานอย่าง เควนติน ทารันติโน (Reservoir Dogs), สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก (Sex, Lies, and Videotape) และ เดเมียน ชาเซลล์ (Whiplash) การมีอยู่ของซันแดนซ์ได้สร้างความหลากหลายและผลักดันให้ภาพยนตร์นอกกระแสสามารถก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับสตูดิโอยักษ์ใหญ่ได้
หากจะบอกว่า เรดฟอร์ดคือศิลปินผู้มีวิสัยทัศน์ ผู้อุทิศตนเพื่อยกระดับศิลปะภาพยนตร์ และเป็นผู้มอบโอกาสให้แก่คนรุ่นหลัง ก็คงจะไม่ผิดจากความเป็นจริงเท่าไรนัก
มรดกที่เขาทิ้งไว้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนแผ่นฟิล์ม แต่ฝังแน่นอยู่ในจิตวิญญาณของนักสร้างหนังอิสระทั่วโลกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพื้นที่ที่เขาได้สร้างขึ้น
วงการฮอลลีวูดได้สูญเสียดาวจรัสแสงไปหนึ่งดวง แต่แสงจากมรดกที่ชื่อ "ซันแดนซ์" จะยังคงส่องสว่างนำทางวงการภาพยนตร์ต่อไปอีกนานเท่านาน
ที่มา : theguardian latimes bbc
ข่าวที่เกี่ยวข้อง