ชีวิตฆาตกรต่อเนื่อง กลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูดนำมาสร้างสรรค์ผลงานมากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวของ Ed Gein
หนึ่งในซีรีส์สุดร้อนแรงในเวลานี้คงหนีไม่พ้น Monster: The Ed Gein Story ผลงานชิ้นที่ 3 จากซีรีส์ชุด Monster ที่หยิบเรื่องราวของฆาตกร (ดัง-ในแง่โหดเหี้ยม) มาตีแผ่ชีวิต ผ่านฝีมือการกำกับของ Ryan Murphy และอำนวยการสร้างโดย Netflix
Monster: The Ed Gein Story ว่าด้วยเรื่องราวของ เอ็ด เก็น (Ed Gein) รับบทโดย Charlie Hunnam ชายอเมริกันผู้ถูกยัดเยียดแนวคิดอันผิดแปลกไปจากสังคม นั่นคือการถูกแม่ผู้เคร่งศาสนาสอนให้เกลียดชังผู้หญิง และผู้หญิงทุกคนล้วนเป็นปีศาจ (Monster)
อ่านเรื่องราวของ Ed Gein ได้ที่บทความนี้: https://www.springnews.co.th/news/hot-issue/860064
ทั้งนี้ อย่างที่กล่าวไปว่า Ed Gein คือชายผู้เป็นต้นแบบให้อุตสาหกรรมภาพยนต์ฮอลลีวูด หยิบเรื่องราว สไตล์ และวิธีการฆ่า (คน) ของเขา มาแต่งเติมเป็นตัวละคร และเรื่องราวสุดสยองขวัญ ซึ่งเราก็ล้วนเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้ว แต่เราจะขอหยิบยก 2 ตัวละครมาพูดถึงกันที่บทความนี้
คริสโตเฟอร์ เบอร์รี-ดี ผู้เขียนหนังสือ Serial Killers at the Movies เปิดเผยว่า “คนทำหนังต้องหลงใหลในเอ็ด กีน อย่างแน่นอน เขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าได้กล้าเสีย มีจินตนาการเลิศล้ำ เราไม่ค่อยเห็นฆาตกรแบบเอ็ดอีกแล้ว”
คำกล่าวเมื่อครู่ของ คริสโตเฟอร์ เบอร์รี-ดี สะท้อนวิธีคิดของผู้ผลิตได้เป็นอย่่างดี ส่วนตัวแล้ว ไม่รู้แหละว่าเห็นด้วยหรือต่อต้านสิ่งที่ฆาตกรทำหรือไม่/อย่างไร แต่ถ้ามองชีวิตคน ๆ หนึ่งเป็นเส้นเรื่อง และมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สร้างความตื่นเต้น (สั่นประสาท) อยู่เสมอ และถ้ายิ่งมีปมหนัก ๆ ล่ะก็ ชีวิตของคุณจะกลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์
จะเป็นเรื่องเล่าของใคร หรืออะไรก็ได้ เรื่องราวสยองขวัญ ฆาตกรรม ชีวประวัติ วรรณกรรมคลาสิค นักเขียน นักสืบ ฯลฯ เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นคอนเทนท์ได้ เมื่อผู้ชมเปลี่ยนจากการดูทีวีมารับชมออนไลน์ ซึ่งมีความหลากหลายของเนื้อหา ผู้ชมเลือกดูได้ตามใจชอบ
มีการศึกษาวิเคราะห์ว่าเนื้อหาที่ฮาร์ดคอจำพวกฆาตกรรมโหดดึงดูดใจผู้ชมได้มากกว่า และอีกอย่างคือการบริโภคสื่อของผู้ชมเปลี่ยนไป มีจำนวนไม่น้อยที่อยากดูคอนเทนท์ที่มีคุณภาพสูง ทั้งภาพ เสียง และสตอรี่ ดังนั้น ผู้ผลิตรายใหญ่จึงได้เปรียบในการลงทุนในคอนเทนท์ที่มีคุณภาพสูง
และหนึ่งในนั้นคือคอนเทนท์ฆาตกรรม ตั้งแต่มีภาพยนตร์ หรือซีรีส์ เกิดขึ้น ฆาตกรรมคือหนึ่งในหมวดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีการศึกษาหลายชิ้นที่ชี้ว่า ผู้ชมหลงใหลในอาชญกรรมจริง และจิตวิทยาของการฆาตกรรม และเมื่อมีดีมานด์ นั่นก็คือแหล่งเงินดี ๆ นี่เอง
แม้จะยังเถียงกันไม่จบว่าการนำเรื่องราวของฆาตกรเหล่านี้มีเผยแพร่ ถือเป็นการยกย่องฆาตกรหรือไม่ เห็นได้จากคอมเมนต์หลังจากได้รับชมต่างก็บอกว่าเห็นใจ ถ้าพวกเขาไม่เจอเรื่องแบบนี้ เขาคงไม่เป็นคนแบบนี้ ฯลฯ สำคัญกว่าคือผู้สร้างตั้งใจหยิบมุมไหนของฆาตกรที่มีตัวตนอยู่จริง มีเล่าให้คนนับล้านเห็นและรู้สึก
ผู้กำกับ โทบ ฮูเปอร์ เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ฮูเปอร์มีผลงานขึ้นหิ้งมากมาย และหนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดก็หนีไม่พ้น หนังเชือดเฉือนไล่ฆ่าอย่าง The Texas Chain Saw Massacre ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกในปี 1974 และได้กลายเป็นปรากฏการณ์ในวงการภาพยนตร์ และโดยเฉพาะผู้ที่ชอบหนังแนวฮาร์ดคอเลือดสาด
เรื่องราวคือมีกลุ่มเพื่อน 5 คน เดินทางสู่ชนบทในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เพื่อไปเยี่ยมหลุมศพของคุณปู่ แต่ระหว่างทางพวกเขากลับเจอบ้านร้างหลังหนึ่ง และในบ้านหลังนั้น มีฆาตกรอยู่ เขาสวมหน้ากากผิดหนังมนุษย์ปิดหน้า (leather face) และมีเลื่อยไฟฟ้าเป็นอาวุธไล่เฉือนคน
โทบ ฮูเปอร์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าตนได้ยินเรื่องราวของ Ed Gein เมื่อตอนอายุ 5 ขวบ “พวกเขาไม่ได้เอ่ยชื่อเขา แต่สำหรับผม เขาเหมือนปีศาจร้ายตัวจริง” กลับอีกแหล่งหนึ่งบอกว่าฮูเปอร์เคยได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กจริง แต่เพิ่งมาจำได้ว่านี่คือ Ed Gein
ยุคสมัยที่ โทบ ฮูเปอร์ เติบโตมานั้น โลกกำลังเกิดสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกาส่งนายทหารไปร่วมรบ (และตาย) เป็นจำนวนมาก เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง ความขัดแย้ง รวมถึงการบริหารของรัฐบาลในสมัยนั้นที่ห่วยแตก ทำให้ฮูเปอร์เขียนเรื่องราวการไล่ฆ่าผู้คนในเมืองเท็กซัสขึ้นมา
และเมื่อได้กลับมาอ่านเรื่องราวของ Ed Gein อีกครั้ง เขาจึงดัดแปลงตัวฆาตกรให้ใส่หน้ากากหนังมนุษย์เพื่ออำพรางความโหดร้ายเอาไว้ ส่วนเลื่อยไฟฟ้าฮูเปอร์จินตนาการว่าถ้าในแผนกเครื่องมือช่างของห้างสรรพสินค้า แล้วเกิดมีคนคุ้มคลุ่งหยิบเลื่อยไฟฟ้ามาไล่ฆ่าคนจะเกิดอะไรขึ้น
ออกฉายครั้งแรกในปี 1991 หนังเรื่องนี้เล่าถึงเรื่องราวของ คลาริส สตาร์ลิง (รับบทโดย จูดี ฟอสเตอร์) FBI ฝึกหัด ที่ถูกหัวหน้า มอบหมายให้เข้าไปสัมภาษณ์ ดร. ฮันนิบาล เล็คเตอร์ (แสดงโดย Anthony Hopkins) จิตแพทย์ที่ถูกคุมขังในเรือนจำเพราะมีพฤติกรรมเป็นฆาตกรและกินเนื้อคน
โดยเป้าหมายของภารกิจนี้คือการขอคำปรึกษาจากเล็คเตอร์ เพื่อช่วยในการสืบสวนคดีฆาตกรต่อเนื่องชื่อ บัฟฟาโล บิล ผู้ซึ่งลักพาตัวและฆ่าผู้หญิงหลายคน แล้วนำหนังไปทำเป็นเสื้อผ้า ที่ตำรวจยังไม่สามารถตามจับได้ และนี่ก็เกิดเป็นกลเกมจิตวิทยาระหว่างเล็คเตอร์กับสตาร์ลิง ที่นำไปสู่ความตึงเครียดและความรุนแรง
บทบาทของจิตแพทย์กินเนื้อคนส่งให้ Anthony Hopkins และ จูดี ฟอสเตอร์ ในบท FBI ฝึกหัก ได้รับรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำชายและนำหญิงยอดเยี่ยมในปีถัดมา (1992) เป็นหนึ่งในภาพยนตร์สยองขวัญไม่กี่เรื่องที่ถูกใจออสการ์ เพราะมีการวิพากษ์ถึงการกีดกันทางเพศของ FBI เอาไว้ด้วย
หากได้รับชม The Silence of the Lambs คงเดาได้ไม่ยากว่า บัฟฟาโล บิล คือตัวละครที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Ed Gein แบบเต็ม ๆ เช่น การถลกหนังผู้หญิง แล้วมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ของใช้ เป็นต้น และหนังเรื่องนี้ก็ได้เปลี่ยนวิธีการทำหนังสยองขวัญของฮอลลีวูดให้เข้าสู่ยุคใหม่ทันทีที่ออกฉาย
ที่มา: Vanity Fair
ข่าวที่เกี่ยวข้อง