จังหวะชีวิตบนการวิ่ง - การเดินทางสู่แรงบันดาลใจ และการเยียวยาจิตใจ : เมื่อ 'เอิ๊ต ภัทรวี' และ 'บีน นภสร' พบความหมายจากมันที่มากกว่าเสียงเพลง
จากเวทีคอนเสิร์ต สู่สวนสาธารณะ รวมถึงการรวมตัวกันในรันคลับ - 'เอิ๊ต ภัทรวี' และ 'บีน นภสร' 2 ศิลปินสาวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้ ค้นพบว่าการวิ่งไม่ได้เป็นเพียงการออกกำลังกาย แต่คือการเดินทางสู่แรงบันดาลใจ การเยียวยาจิตใจ และการเชื่อมต่อกับผู้คนในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
การวิ่งไม่ได้อาศัยเพียงพละกำลังของขาหรือวินัยที่ตั้งมั่น แต่ การวิ่งของทั้ง 2 ศิลปิน ยังต้องการ 'เหตุผล' ที่ทรงพลังพอจะฉุดเราออกจากเตียงในยามเช้า หรือพาเราออกไปซึมซับบรรยากาศของเมืองในขณะที่หัวใจเต้นระรัว เชื่อว่านักวิ่งทุกคนต่างมีเรื่องราวและเหตุผลที่แตกต่างกันซ่อนอยู่เบื้องหลังทุกย่างก้าว สำหรับสองศิลปินสาว บีน-นภสร ชัยพรเรืองเดช และ เอิ๊ต-ภัทรวี ศรีสันติสุข การวิ่งได้มอบบทเรียนและของขวัญล้ำค่าที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตและผลงานเพลงของพวกเธอ
สำหรับ บีน นภสร การเดินทาง "การวิ่ง" เริ่มต้นขึ้นในบ้าน จากคลิปออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ทำให้เธอได้รู้จักกับความรู้สึกของการมีอะดรีนาลีนสูบฉีดและเหงื่อที่ไหลท่วมตัว
"พอรู้สึกอิน ก็เริ่มอยากออกไปวิ่งข้างนอกค่ะ" บีน นภสร เผย เธอเริ่มต้นจากสวนลุมพินีด้วยระยะทาง 3 กิโลเมตร และในเวลาไม่ถึงปี เธอก็สามารถพิชิตระยะทาง 10-11 กิโลเมตรได้สำเร็จแล้ว
ในขณะที่ เอิ๊ต ภัทรวี มีจุดเริ่มต้นบนสองล้อจักรยานที่สนามปั่นจักรยานสกายเลน สุวรรณภูมิ ในช่วงการระบาดของโควิด-19 "พอรู้สึกว่าตัวเองทนเหนื่อยได้มากขึ้น จากนั้น ก็เริ่มมองหากิจกรรมอื่นที่ทำได้สะดวกเวลาไปทัวร์คอนเสิร์ต" เอิ๊ตกล่าว
การวิ่งจึงกลายเป็นคำตอบที่ลงตัว มันไม่เพียงแต่เป็นการออกกำลังกาย แต่ยังเป็นเครื่องมือสำรวจเมือง "เวลาไปทำงานต่างจังหวัด เราจะพยายามไปวิ่งตามเมืองต่างๆ เพื่อเก็บรูท (แผนที่วิ่ง) ในแอปฯ Strava มันทำให้เรารู้สึกสนิทกับที่นั่นมากขึ้น ได้เที่ยวในความเร็วที่พอดี"
แม้จะเริ่มต้นจากการวิ่งคนเดียว แต่ทั้งคู่ก็ได้ค้นพบมิติใหม่ผ่านวัฒนธรรม ‘รันคลับ’ ที่กำลังเติบโต บีนซึ่งยอมรับว่าตัวเอง "เป็นคนไม่ตื่นเช้า" ได้ลองก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนเมื่อเอิ๊ตชวนไปวิ่งในตอนเช้า "มันเป็นครั้งแรกที่ได้วิ่งกับคนอื่นเยอะๆ แล้วก็รู้สึกสนุก ได้เจอคนใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แวดวงเดิมๆ จนรู้สึกว่า 'ชอบนะ'"
ด้านเอิ๊ต ที่เปิดเผยตัวเองว่าเป็น Introvert ก็มองเห็นประโยชน์ของการได้พบปะผู้คนนอกเหนือจากแวดวงการทำงาน "ช่วงแรกๆ ที่ไปรันคลับก็มีเขินบ้าง แต่พอได้ไปกับเพื่อน ก็ได้คุยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่งานของเราบ้าง มันดีมากที่ได้เห็นคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องวิ่งหันมาออกกำลังกายกัน"
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการที่การวิ่งได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออาชีพศิลปินของพวกเธอ เอิ๊ตเล่าถึงช่วงเตรียมคอนเสิร์ตเมื่อปีก่อนว่า "เอิ๊ตวิ่งทุกวันเพื่อคุมการหายใจให้ได้ มันทำให้เราร้องเพลงได้ดีขึ้นจริงๆ" เธอยอมรับว่าการวิ่งนั้นยากกว่าการปั่นจักรยาน เพราะต้องใส่ใจกับอัตราการเต้นของหัวใจที่พุ่งสูง แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่า
"สาเหตุหลักของการวิ่งเลยคือการเยียวยาจิตใจ" เอิ๊ตเน้นย้ำ "เวลาวิ่ง มันเหมือนได้เคลียร์สมอง ลืมความเครียดไปเลย ทำให้กินได้ดี นอนหลับได้สนิทขึ้น ซึ่งมันช่วยได้เยอะมาก"
เช่นเดียวกับบีน ที่มองว่าการวิ่งไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการแข่งขัน แต่คือการสร้างความมั่นคง (Stable) ให้กับตัวเอง และการวิ่งของเธอยังกลายเป็นแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้กับผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย "เราเป็นเหมือนแรงผลักดันเล็กๆ ที่ได้ influence ให้เขาหันมาดูแลตัวเอง มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากค่ะ"
แม้ทั้งสองจะไม่ได้ตั้งเป้าหมายลงสนามวิ่งแบบจริงๆจังๆ ในเร็ววันนี้ แต่การวิ่งในแบบของตัวเองก็เพียงพอแล้วที่จะเติมเต็มชีวิตในส่วนที่ขาดหายไป พร้อมกันนี้ พวกเธอยังมีผลงานเพลงใหม่ที่สะท้อนตัวตนออกมาให้แฟนๆ ได้ฟัง บีนกับซิงเกิลล่าสุด "เพลงนี้ไม่มีเขา" ที่มอบพลังบวกให้คนมูฟออน และเอิ๊ตกับเพลง "จดหมายที่ฉันคงไม่ได้ส่ง (Dried Flower)" เพลงฟังสบายๆ ที่อาจช่วยให้จังหวะหัวใจของนักวิ่งช้าลงหลังการออกกำลังกาย
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของเอิ๊ตและบีนได้ตอกย้ำว่า การวิ่งไม่ใช่แค่เรื่องของร่างกาย แต่มันคือการเดินทางภายในที่มอบความแข็งแกร่งทางจิตใจ แรงบันดาลใจ และความสัมพันธ์ใหม่ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คือ "ความหมาย" ที่ทำให้ทุกย่างก้าวมีความพิเศษอย่างแท้จริง
เพราะการวิ่งไม่ใช่การแข่งขันกับใคร แต่คือการได้รู้จักตัวเองในทุกสเต็ป รอบขาการวิ่ง
และบางที เส้นชัยไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล แต่อยู่ที่ความสุขเล็กๆ ระหว่างทาง... ที่หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่เรา “เริ่มต้น”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง