ถอดรหัส อุตสาหกรรมเพลง LGBTQ วงการเพลงต้องมี"สินค้าที่เป็นมิตรกับทุกคน" และนี่คือ พลังขับเคลื่อนใหม่ของซอฟต์พาวเวอร์ไทย
อุตสาหกรรมดนตรีของไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เมื่อพลังของความคิดสร้างสรรค์จากกลุ่มศิลปินผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ผสานเข้ากับภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้าง "ซอฟต์พาวเวอร์" ระลอกใหม่ที่พร้อมจะก้าวสู่เวทีโลก
นี่คือประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอย่างเข้มข้นในงาน Canvas Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ "Responsive Beat: บีทถึงใจคนฟังด้วยเทคโนโลยี Value Chain"
นายอรรถพล หมั่นเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจดนตรี จากสถาบันดนตรียามาฮ่า ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันวงการเพลงไทยมีศิลปิน LGBTQ+ สร้างสรรค์ผลงานออกมามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ควบคู่ไปกับรสนิยมทางดนตรีและคาแรกเตอร์ของผู้ฟังที่มีความเฉพาะกลุ่ม (Niche) มากขึ้น
ในมุมมองของนักการศึกษาด้านดนตรี นายอรรถพลเน้นย้ำว่าหัวใจสำคัญของการสร้างศิลปินคุณภาพเริ่มต้นจาก "การฟัง"
"เราเน้นให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจว่าดนตรีคือภาษา" นายอรรถพลกล่าว "ปลายทางคือการที่พวกเขาสามารถได้ยินและตอบสนองทางดนตรีได้อย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งนี้คือบ่อเกิดของความคิดสร้างสรรค์"
เขายังชี้ว่า การจะสร้างผลงานให้ประสบความสำเร็จนั้น ศิลปินต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าจะ "เล่าเรื่องอะไร" และ "ทำให้ใครฟัง" ซึ่งในปัจจุบัน ข้อจำกัดทางเพศสภาพได้เลือนหายไปแล้ว แต่แก่นแท้คือสารที่ต้องการจะสื่อออกไป
"สิ่งที่คุณต้องทำคือให้อิสระกับพวกเขา โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ เมื่อได้ปลดปล่อยศักยภาพอย่างเต็มที่ มันจะเกิดบรรยากาศ (vibe) ที่เป็นธรรมชาติและผลงานจะออกมาสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ"
มุมมองดังกล่าวได้รับการตอกย้ำจาก พัฒนี จรียะธนา จาก The Voice Thailand ผู้บอกเล่าถึงวิวัฒนาการครั้งสำคัญของรายการประกวดร้องเพลงระดับโลกสู่ "The Voice Pride" ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติให้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก
"นี่คือปีที่พิเศษตลอด 10 ปีที่เราทำมา เหตุผลที่เราได้เป็นเจ้าภาพครั้งแรก เพราะโลกมองเห็นศักยภาพของไทย" นางสาวพัฒนีกล่าว "ก่อนหน้านี้เรามี 'เพียว The Voice All Stars' ซึ่งเป็นศิลปิน LGBTQ+ ที่คว้าแชมป์ไปครองเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ในรายการปกติ พวกเขายังไม่สามารถแสดงตัวตนได้เต็มที่ภายใต้ข้อจำกัดของรูปแบบรายการ"
การแตกแขนง (Spin-off) มาเป็น The Voice Pride จึงเป็นการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินกลุ่มนี้ได้แสดงศักยภาพที่ "มีมากกว่า" การร้องเพลง นั่นคือ "ตัวตนที่ชัดเจน" ซึ่งเกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม ยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะผู้นำด้านความเท่าเทียมในภูมิภาค
"หลายคนอาจมองว่ายังเป็นตลาดที่นิช แต่เรามั่นใจว่าความสามารถของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะกะเทยไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก เราต้องมีพื้นที่ให้เขาแสดงออก และความฝันต่อไปคือการจัด The Voice Pride Asia" นางสาวพัฒนีกล่าวอย่างมุ่งมั่น "วันนี้ไทยเรา 'มีของ' แล้ว เหลือแค่รอให้ทุกคนเปิดใจยอมรับ"
ในมิติทางธุรกิจ นายรักษิต รักการดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไลฟ์ เนชั่น เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ จำกัด มองว่าภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมบันเทิงหลังยุคโควิด-19 ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และ "ความหลากหลาย" คือกุญแจสำคัญในการสร้างรายได้และขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์
"คอนเทนต์อย่างซีรีส์ยูริ (Yuri) หรือซีรีส์วาย (Boys' Love) ของไทย คือจุดเด่นที่ชาวต่างชาติชื่นชอบและยอมรับว่าเราคือเบอร์หนึ่ง" นายรักษิตวิเคราะห์ "นี่คือข้อพิสูจน์ว่ามีตลาดรองรับสำหรับเนื้อหาที่เปิดกว้าง"
เขายอมรับว่า T-Pop ยังคงเผชิญกับคำถามถึงอัตลักษณ์ที่ชัดเจน แต่ชี้ว่าเส้นทางสู่ตลาดโลกมีอยู่สองแนวทางหลัก คือการสร้างสรรค์ผลงานโดยผู้ผลิตที่มีความหลากหลายทางเพศ และการผลักดันศิลปินไทยที่มีฐานแฟนคลับในต่างประเทศให้เติบโตยิ่งขึ้น เช่น กรณีของ "เจฟ ซาเตอร์" ที่ประสบความสำเร็จจากการทัวร์คอนเสิร์ตในต่างแดน
"เราควรเปิดกว้างทั้งฝั่งผู้สร้างและผู้รับ แฟนเพลงชาวไทยเองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนศิลปินอย่างเต็มที่ที่สุด" นายรักษิตทิ้งท้าย "มันน่าเสียดายที่โลกต้องสูญเสียศิลปินอย่าง เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ ไปเร็วเกินไป เราไม่ควรปล่อยให้ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ต้องสูญเปล่าไปอีก"
อนาคตของอุตสาหกรรมดนตรีไทยได้อย่างชัดเจน ทิศทางข้างหน้าไม่ใช่การเจาะตลาดใดตลาดหนึ่ง แต่เป็นการสร้างสรรค์ "สินค้าที่เป็นมิตรกับทุกคน" ผ่านผลงานที่โอบรับความหลากหลายและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นับเป็นก้าวย่างที่สำคัญซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างแรงกระเพื่อมทางวัฒนธรรม แต่ยังเปี่ยมไปด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจที่จะนำพาวงการเพลงไทยไปสู่จุดหมายที่ไกลกว่าเดิม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง