svasdssvasds

รู้จักอาการ โรค Telephobia กลัวโทรศัพท์ หนักใจเมื่อมีสายโทรเข้า

รู้จักอาการ โรค Telephobia กลัวโทรศัพท์ หนักใจเมื่อมีสายโทรเข้า

เข้าใจอาการ Telephobia โรคกลัวโทรศัพท์ที่พบได้บ่อยใน ซึ่งคนรุ่นใหม่ Gen Z ชอบแชทมากกว่าพูด เนื่องจากโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันไม่ได้ถูกใช้เพื่อโทรเป็นหลักอีกต่อไป

SHORT CUT

  • Telephobia คืออาการวิตกกังวลหรือกลัวการคุยโทรศัพท์ของ Gen Z ที่คุ้นชินกับการสื่อสารแบบ "คัดกรองได้" (เช่น การแชท) มากกว่าการสนทนาสดที่ต้องตอบสนองทันที
  • Gen Z มักสบายใจกับวิดีโอคอลมากกว่าการโทรด้วยเสียง เพราะการไม่เห็นสีหน้าคู่สนทนา ทำให้เกิดความกังวลว่าจะถูกตัดสินหรือเข้าใจผิด
  • ผลกระทบสำคัญของโรคนี้ มักเกิดกับ Gen Z ในการสัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์ แต่สามารถแก้ไขได้ผ่านการฝึกซ้อมสถานการณ์จำลอง, การเตรียมสคริปต์ และการฝึกสติควบคุมลมหายใจ

เข้าใจอาการ Telephobia โรคกลัวโทรศัพท์ที่พบได้บ่อยใน ซึ่งคนรุ่นใหม่ Gen Z ชอบแชทมากกว่าพูด เนื่องจากโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันไม่ได้ถูกใช้เพื่อโทรเป็นหลักอีกต่อไป

ในยุคที่การสื่อสารมีตัวเลือกหลากหลาย ตั้งแต่การส่งข้อความ ไปจนถึงโซเชียลมีเดีย การ "คุยโทรศัพท์" ซึ่งเคยเป็นการสื่อสารหลัก กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่สร้างความวิตกกังวลให้คนรุ่นใหม่จำนวนมาก จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Telephobia หรือ โรคกลัวการใช้โทรศัพท์

รู้จักอาการ โรค Telephobia กลัวโทรศัพท์ หนักใจเมื่อมีสายโทรเข้า

Telephobia คือความกลัวหรือความรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรงต่อการคุยโทรศัพท์ ผู้ที่มีอาการมักจะแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยง และบางครั้งอาจมีอาการทางกายภาพ เช่น หัวใจเต้นเร็วหรือเหงื่อออก เมื่อรู้ว่าจะต้องรับสาย

สอดคล้องกับผลสำรวจของ Uswitch ในปี 2024 ที่พบว่าเกือบ 70% ของผู้คนในสหราชอาณาจักร อายุ 18-34 ปี ชอบส่งข้อความมากกว่าการพูดคุย และ 23% ยอมรับว่าไม่เคยรับสายเลย

รู้จักอาการ โรค Telephobia กลัวโทรศัพท์ หนักใจเมื่อมีสายโทรเข้า

ทำไม Gen Z ถึงกลัวการคุยโทรศัพท์?

Liz Baxter ที่ปรึกษาด้านอาชีพจาก Nottingham College ในสหราชอาณาจักร ชี้ว่า คน Gen Z ขาดโอกาสในการฝึกฝนการใช้โทรศัพท์เพื่อการสนทนา เนื่องจากโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันไม่ได้ถูกใช้เพื่อการโทรเป็นหลักอีกต่อไป

  • ชอบการสื่อสารที่ "คัดกรอง" ได้ : ในยุคดิจิทัล การส่งข้อความทำให้เรารู้สึก "เปราะน้อยกว่า" และสบายใจกว่าการสนทนาสด เพราะสามารถ "คัดกรอง" สิ่งที่จะสื่อสารได้ Baxter เสริมว่า การส่งข้อความทำให้พวกเขามีเวลาคิด (และคิดมากเกินไป) เกี่ยวกับคำตอบ ซึ่งต่างจากการคุยสดที่ต้องตอบสนองทันที
  • กลัวความล้มเหลวและความไม่แน่นอน : Gen Z "กลัวความล้มเหลว" อย่างเห็นได้ชัด "ถ้าฉันพูดผิดล่ะ? ถ้าฉันไม่รู้คำตอบล่ะ?" นอกจากนี้ การที่สายโทรศัพท์ดังขึ้นโดยไม่ทราบว่าใครโทรมาหรือโทรมาด้วยเรื่องอะไร ก็สร้างความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่แน่นอน
  • ขาด "สัญญาณภาพ" : ประเด็นที่น่าสนใจคือ นักเรียนจำนวนมากกลับรู้สึกสบายใจกับการประชุมผ่าน Microsoft Teams หรือวิดีโอคอล เพราะพวกเขาสามารถเห็นปฏิกิริยาและอ่านสีหน้าของคู่สนทนาได้ Baxter ระบุว่า "การโทรแบบเสียงเท่านั้น ทำให้พวกเขากังวลว่ากำลังถูกตัดสิน หรือคิดว่าคุณกำลังหัวเราะเยาะพวกเขา" เพราะไม่ได้รับการตอบสนองทางภาพเพื่อยืนยันว่าการสนทนาเป็นไปได้ด้วยดี

ปัญหาของโรค Telephobia ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออนาคตการทำงาน Liz Baxter เล่าว่า ที่ปรึกษาด้านอาชีพสังเกตเห็นว่านักเรียน "ตกม้าตาย" ในขั้นตอนการสัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นด่านแรกของการคัดกรอง

เพื่อแก้ปัญหานี้ วิทยาลัย Nottingham จึงได้จัดหลักสูตร 'Five Steps to Telephone Confidence' เพื่อช่วยนักเรียนสร้างความมั่นใจ โดยมีการฝึกซ้อมสถานการณ์จำลองต่างๆ เช่น การโทรนัดหมายแพทย์ หรือการโทรลางาน โดยให้นั่งหันหลังชนกันเพื่อจำลองการคุยโทรศัพท์จริง

CREDIT : Nottingham College

วิธีง่ายๆที่ช่วยให้กล้าคุยโทรศัพท์มากขึ้น

  • เช็กตัวเองก่อนว่า "กลัวอะไรกันแน่?" ลองถามตัวเองง่ายๆ ว่าจุดที่กลัวคืออะไร กลัวพูดผิด? กลัวพูดไม่ออก? หรือกลัวการตัดสิน? การรู้ว่าเรากังวลจุดไหน คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุด
  • ค่อยๆ ซ้อมจากด่านง่ายๆ ไม่ต้องเริ่มจากเรื่องยากๆ ลองเริ่มจากสถานการณ์ที่ไม่กดดัน เช่น โทรหาเพื่อนสนิท, โทรสั่งอาหารเดลิเวอรี่ หรือโทรสอบถามข้อมูลง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน ค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยทีละนิด
  • เตรียม "โพย" ไว้ข้างตัว นี่คือข้อดีของการคุยโทรศัพท์ ไม่มีใครเห็นว่าคุณกำลังดูโพยอยู่ ให้จดสิ่งที่คุณต้องพูด หรือคำถามที่ต้องถาม ลงใน Post-it หรือกระดาษโน้ตวางไว้ตรงหน้า มันช่วยให้คุณไม่ลืมและลดความกังวลได้มาก
  • เตรียมตัวให้พร้อม สร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" ให้ตัวเองก่อนโทร หาที่เงียบๆ ที่อยู่คนเดียว ชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็ม และคิดไว้คร่าวๆ ว่าจะเริ่มต้นประโยคแรกยังไง การเตรียมพร้อมช่วยลดความตื่นเต้นได้
  • สูดหายใจลึกๆ ถ้ารู้สึกใจสั่นหรือกังวล ก่อนจะกดโทร ให้ลอง "สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ" ทำซ้ำสัก 2-3 ครั้ง จะช่วยให้ใจเย็นลงและลดความเครียดได้ทันที
  • จำไว้ว่าคุณคือคนที่ควบคุมการสนทนา ถ้าคุยแล้วรู้สึกไม่โอเค อึดอัด หรือถูกกดดัน คุณมีสิทธิ์ที่จะพูดว่า "ขอโทษนะคะ/ครับ พอดีไม่สะดวกคุยต่อ" หรือ "เดี๋ยวขอติดต่อกลับไปใหม่" แล้ววางสายได้เลย

ที่มา : CNBCNewsWeek

related