svasdssvasds

ทำไมหนังสือบางเล่ม ถึงกลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกตลอดกาล

ทำไมหนังสือบางเล่ม ถึงกลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกตลอดกาล

AI วิเคราะห์นิยายกว่า 300 เล่ม พบว่านิยายที่ยังคงได้รับความนิยม มักใช้ภาษาซับซ้อนและประโยคยาวกว่า ส่วนนิยายทั่วไปมักอายุสั้น !

SHORT CUT

  • งานวิจัยพบว่านิยายที่คงความนิยมยาวนานมักใช้ประโยคซับซ้อนและคำศัพท์เข้มข้น ต่างจากนิยาย Bestseller ที่อ่านง่ายและฮิตเร็ว แต่ไม่ยืนระยะในระยะยาว
  • นักวิชาการเตือนว่า การตัดสินว่านิยาย “เหนือกาลเวลา” จริง ๆ ต้องมองเกิน 100 ปี และรสนิยมผู้อ่านก็เปลี่ยนอยู่เสมอ แม้แต่งานของ “วิลเลียม เชกสเปียร์” ยังถูกลดความสำคัญในบางหลักสูตร
  • ไม่ว่านิยายจะเป็น Bestseller หรืออ่านยาก ความหมายของ “ความคลาสสิก” อาจอยู่ที่ความสุข ความประทับใจ และความตราตรึงใจที่ผู้อ่านได้รับมากกว่า นั่นอาจเพียงพอแล้วสำหรับนิยายเล่มหนึ่งที่จะเป็นงานสำคัญในใจใครสักคน.

AI วิเคราะห์นิยายกว่า 300 เล่ม พบว่านิยายที่ยังคงได้รับความนิยม มักใช้ภาษาซับซ้อนและประโยคยาวกว่า ส่วนนิยายทั่วไปมักอายุสั้น !

เรามักสงสัยกันเสมอว่าเหตุใดนิยายบางเล่มจึงยังคงตราตรึงใจผู้อ่านรุ่นแล้วรุ่นเล่า ในขณะที่อีกหลายเล่มแม้จะเคยติดอันดับขายดีในปีที่ออกตีพิมพ์ แต่กลับถูกลืมเลือนไปในเวลาไม่นาน 

งานวิจัยล่าสุดเริ่มเปิดเผยเบาะแสที่น่าสนใจว่า “นิยายที่มีโอกาสเป็นอมตะ” อาจมีลักษณะร่วมบางอย่างที่เราไม่เคยสังเกตมาก่อน

อ่านง่าย ฮิตเร็ว… แต่ไม่ยืนนาน?

ทีมนักวิจัยจาก York University เมืองโตรอนโต วิเคราะห์นิยายภาษาอังกฤษจำนวน 300 เล่ม ที่ตีพิมพ์ช่วงปี 19091923 โดยแบ่งเป็นสองประเภทได้แก่ 

  • นิยายที่เคยเป็น Bestseller ในปีที่ตีพิมพ์
  • นิยายที่ยังคงได้รับความนิยมบน Goodreads มาจนถึงปัจจุบัน แม้จะไม่ใช่ Bestseller ในยุคนั้นก็ตาม

จากการใช้ AI ตรวจจับรูปแบบภาษาในนิยายทั้งหมด ทีมวิจัยพบว่า…นิยายที่เคยขายดีช่วงแรก มักมีจำนวนหน้ามากกว่า ใช้คำสนทนาบ่อย เช่น “yeah”, “oh”, “OK” และมีเครื่องหมายวรรคตอนเยอะ

การเขียนแบบนี้ทำให้อ่านง่าย คล่องตัว จึงดึงดูดผู้อ่านจำนวนมากในช่วงเวลานั้น แต่เนื้อหาหรือความลึกซึ้งอาจไม่มากพอสำหรับการอยู่รอดในระยะยาว

นิยายที่ใช้สมาธิ ยิ่งอยู่ในใจผู้อ่านนาน

ในทางตรงกันข้าม นิยายที่ยังคงได้รับความนิยมตลอดหลายสิบปีมีลักษณะที่ต่างออกไปอย่างชัดเจน โครงเรื่องสั้นกว่า แต่ประโยคยาวขึ้น ใช้คำศัพท์ซับซ้อนมากขึ้น

การเขียนแบบนี้ไม่ใช่ “อ่านสบาย ๆ” แต่ต้องการความตั้งใจในการอ่าน ซึ่งอาจทำให้นิยายทำนองนี้ฝังอยู่ในความทรงจำของผู้อ่านได้มากกว่า เมื่อจำได้ ก็มีแนวโน้มถูกแนะนำต่อหรือหยิบกลับมาอ่านใหม่อีกครั้ง

AI สามารถแยกนิยายสองกลุ่มนี้ได้อย่างแม่นยำถึง 70% โดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลเรื่องชื่อเสียงนักเขียน การตลาด หรือธีมเรื่องเลยด้วยซ้ำ

ความคลาสสิกวัดได้จริงหรือ?

แม้งานวิจัยจะชี้ว่าโครงสร้างภาษามีผลต่อ “ความยั่งยืน” ของนิยาย แต่ทีมจากมหาวิทยาลัย UC Berkeley เตือนว่าการจะตัดสินว่านิยายเล่มใด “เหนือกาลเวลา” จริง ๆ อาจต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 100 ปี และรสนิยมของผู้อ่านก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตัวอย่างชัดเจนคือ แม้ "วิลเลียม เชกสเปียร์" จะถูกยกย่องว่าเป็นสุดยอดนักเขียนเหนือกาลเวลา แต่ปัจจุบันหลายมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เริ่มถอดความจำเป็นในการเรียนงานเขียนของออกจากหลักสูตรแล้วเช่นกัน

สุดท้ายแล้ว “ความคลาสสิก” อาจไม่ใช่สิ่งที่มีสูตรตายตัว หรือเป็นตัวเลขที่จับต้องได้จากงานวิจัยเพียงอย่างเดียว นิยายบางเล่มอาจยืนระยะข้ามศตวรรษเพราะโครงสร้างภาษา บางเล่มอาจอยู่ในใจผู้อ่านเพราะอารมณ์หรือความทรงจำส่วนตัว และบางเล่มก็อาจถูกยกย่องในช่วงเวลาหนึ่งแล้วเลือนหายไปในอีกช่วงหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นธรรมชาติของเรื่องเล่า

ท้ายที่สุด ไม่ว่านิยายจะเป็น Bestseller หรือเป็นงานอ่านยากที่ต้องใช้สมาธิ สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ว่ามันจะ “กลายเป็นคลาสสิก” หรือไม่ แต่คือการที่ผู้อ่านรู้สึกสนุก ประทับใจ หรือได้อะไรบางอย่างกลับไปจากการเปิดหนังสือเล่มนั้น และถ้าเรื่องเล่าหนึ่งสามารถสร้างความรู้สึกได้ลึกพอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี มันก็ได้กลายเป็นคลาสสิกสำหรับใครบางคนไปแล้วโดยไม่ต้องรอการพิสูจน์จากกาลเวลาเลยด้วยซ้ำ.

related