svasdssvasds

เงินโบนัส - ประวัติศาสตร์ จากกล่องของขวัญอังกฤษ สู่แต๊ะเอีย-วัฒนธรรมการจ้างงานในไทย

เงินโบนัส - ประวัติศาสตร์ จากกล่องของขวัญอังกฤษ สู่แต๊ะเอีย-วัฒนธรรมการจ้างงานในไทย

ทำไม เงินโบนัส ถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมไทย ? - ปลายปีไม่ใช่แค่ช่วงลุ้นวันหยุด แต่คือฤดูกาลตามหา “ความหวัง” สำหรับมนุษย์เงินเดือน

SHORT CUT

  • เงินโบนัส มีรากฐานมาจากธรรมเนียม "Boxing Day" ของอังกฤษ ที่เจ้านายมอบของขวัญขอบคุณคนรับใช้ ก่อนจะถูกพัฒนากลายเป็นเครื่องมือจูงใจแรงงานในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมของโลกตะวันตก
  • ในบริบทของไทย โบนัสไม่ได้เริ่มต้นจากกฎหมายแรงงาน แต่มีวิวัฒนาการมาจากวัฒนธรรม "แต๊ะเอีย" ในกลุ่มธุรกิจครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ในระบบกงสี
  • วัฒนธรรมการจ่ายโบนัสก้อนโตในปัจจุบันได้รับอิทธิพลสำคัญจากบริษัทญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 2520-2530 ที่นำรูปแบบการจ้างงานแบบ "โบนัสหนัก" เข้ามาใช้ จนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในตลาดแรงงานไทย

ทำไม เงินโบนัส ถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมไทย ? - ปลายปีไม่ใช่แค่ช่วงลุ้นวันหยุด แต่คือฤดูกาลตามหา “ความหวัง” สำหรับมนุษย์เงินเดือน

เจาะลึกที่มา "เงินโบนัส": จากกล่องของขวัญอังกฤษ สู่ "แต๊ะเอีย" และวัฒนธรรมการจ้างงานไทย

ช่วงปลายปีแบบนี้ หรือในช่วงเวลาเดือนธันวาคม  สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนในไทยเฝ้ารอคอยไม่ใช่เพียงวันหยุดยาว แต่คือตัวเลขในบัญชีที่เรียกว่า "โบนัส"  สำหรับหลายๆบริษัทที่ผลประกอบการดี ย่อมคืน "กำลังใจ" ในรูปแบบเงินตราให้กับพนักงาน  

เบื้องหลังเงินก้อนนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของตัวเลขทางบัญชี แต่คือส่วนผสมทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ระหว่างธรรมเนียมตะวันตก วัฒนธรรมจีน และระบบอุปถัมภ์แบบไทย ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด จนกลายมาเป็น "เงินโบนัส" อย่างที่เรารู้จักกันนี้ 

ในขณะที่โลกตะวันตกมองโบนัสเป็นเรื่องของ "ผลตอบแทนตามสัญญา" (Contractual Incentive) แต่ในบริบทของสังคมไทย "โบนัส" มีวิวัฒนาการที่ซับซ้อนกว่านั้น มันคือจุดบรรจบของความกตัญญู แรงจูงใจทางอุตสาหกรรม และการรักษาหน้าตาทางสังคม

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) นิยามสิ่งนี้ว่าเป็น "เงินรางวัลพิเศษ" ที่อยู่นอกเหนือค่าจ้าง แต่คำถามที่น่าสนใจกว่าคือนิยามทางสังคม   เหตุใดคนไทยจึงผูกพันกับโบนัสมากกว่าชาติอื่นๆ ?

เงินโบนัส - ประวัติศาสตร์ จากกล่องของขวัญอังกฤษ สู่แต๊ะเอีย-วัฒนธรรมการจ้างงานในไทย

รากศัพท์และการเดินทางจากตะวันตก 

หากจะย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น คำว่า Bonus มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า Bonum ซึ่งแปลตรงตัวว่า "สิ่งที่ดี" (Good) เดิมทีมันคือสินน้ำใจที่ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ในสัญญา

นักประวัติศาสตร์แรงงาน เชื่อมโยงต้นกำเนิดของโบนัสสมัยใหม่เข้ากับประเพณี "Boxing Day" ของอังกฤษ (26 ธันวาคม) หรือวันแกะกล่องของขวัญ อย่างที่นักดูฟุตบอลคุ้นเคยกันดีว่า วันนี้ช่วงคริสมาสต์แท้ๆ แต่นักฟุตบอลในอังกฤษยังต้องเตะ ทำมาหากินกันอยู่เลย  

ย้อนเข็มนาฬิกากลับไปในยุควิกตอเรียน เจ้านายจะมอบ "กล่อง" (Box) ที่บรรจุเงินหรือของขวัญให้กับคนรับใช้ เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งปีและยอมสละเวลาช่วงคริสต์มาสเพื่อดูแลเจ้านาย

ระบบทุนนิยมในสหรัฐอเมริกาสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงศตวรรษที่ 19 โรงงานใหญ่ ๆ อย่าง "ฟอร์ด มอเตอร์" ก็มีการจ่ายเงินโบนัส ตามผลประกอบการ 

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและสงครามโลกในศตวรรษที่ 20 "กล่องของขวัญ" นี้ถูกเปลี่ยนรูปเป็นระบบการเงิน เพื่อจูงใจให้แรงงานในโรงงานเร่งผลิตสินค้าให้ทันเป้าหมายและลดความขัดแย้ง นี่คือจุดเริ่มต้นของโบนัสในระบบทุนนิยม
 

"แต๊ะเอีย" : ดีเอ็นเอโบนัสในแบบไทย

เมื่อข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่ประเทศไทย ระบบโบนัสไม่ได้เริ่มต้นจากกฎหมาย แต่เริ่มจาก "วัฒนธรรม" โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน

ก่อนที่คำว่า "Year-end Bonus" จะถูกบรรจุในฝ่ายบุคคล ธรรมเนียมปฏิบัติที่มาก่อนคือ "แต๊ะเอีย" (Tae Ear)

แต๊ะ แปลว่า ทับ หรือ กด
เอีย แปลว่า เอว

ในอดีต เงินเหรียญที่มีรูตรงกลางจะถูกร้อยด้วยเชือกแดง ผู้ใหญ่หรือเถ้าแก่จะมอบให้ลูกหลานและลูกจ้าง แล้วให้นำไปผูกเก็บไว้ที่เอว นี่คือสัญลักษณ์ของ "ความผูกพันแบบครอบครัว" ในระบบกงสี

เมื่อธุรกิจครอบครัวเหล่านี้เติบโตขึ้นตามกาลเวลา และจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน ธรรมเนียมการจ่ายแต๊ะเอีย จึงถูกแปลงสภาพให้เป็นระบบมาตรฐานสากลที่เรียกว่า "โบนัส" ข้อเท็จจริงนี้อธิบายได้ว่า ทำไมบริษัทเก่าแก่บางแห่งในไทย จึงยังคงจ่ายโบนัสในช่วงตรุษจีน (กุมภาพันธ์) แทนที่จะเป็นสิ้นปีสากล  

"ในไทย โบนัสไม่ได้เริ่มจากกฎหมายแรงงาน แต่เริ่มจากความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์ที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมกงสี"

เงินโบนัส - ประวัติศาสตร์ จากกล่องของขวัญอังกฤษ สู่แต๊ะเอีย-วัฒนธรรมการจ้างงานในไทย

จุดเปลี่ยนยุค "เปรี้ยงปร้างอู้ฟู่" และอิทธิพลญี่ปุ่น

แม้จะมีรากฐานจากแต๊ะเอีย แต่ "วัฒนธรรมโบนัสก้อนโต" (เช่น 5-8 เดือน) ที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน เพิ่งจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่างจริงจังในช่วงทศวรรษ 2520-2530 หรือยุคที่เรียกว่า "เปรี้ยงปร้างอู้ฟู่"

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการย้ายฐานการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นมายังประเทศไทยหลังข้อตกลง Plaza Accord เมื่อปี 1985 ซึ่ง “เงินเยน” ของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นมากอย่างรวดเร็ว หากญี่ปุ่นผลิตสินค้าในประเทศ สินค้าของญี่ปุ่นจะมีราคาแพง และในทางตรงข้าม ญี่ปุ่นสามารถนำเงินเยนออกไปซื้อสินค้า-วัตถุดิบ และจ่ายค่าจ้างแรงงานในต่างประเทศได้ในราคาถูกกว่าในประเทศ 

 บริษัทเหล่านี้ได้นำโมเดลการจ้างงานแบบญี่ปุ่นเข้ามาใช้ คือ "ฐานเงินเดือนไม่สูง แต่สวัสดิการดีและโบนัสหนัก" เพื่อสร้างความภักดีและการจ้างงานตลอดชีพ (Lifetime Employment)

สิ่งนี้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ธุรกิจไทยต้องปรับตัวจ่ายโบนัสเพื่อดึงดูดคนเก่ง จนกลายเป็นความคาดหวังทางสังคมที่ฝังรากลึกมาจนถึงปัจจุบันอย่างที่เราทราบๆกันดี 

ความจริงทางกฎหมาย: สิทธิ หรือ น้ำใจ?

แม้โบนัสจะกลายเป็นวัฒนธรรมที่เข้มข้น แต่ในทางกฎหมายแรงงานไทย ยังคงมีความเข้าใจผิดอยู่มาก

ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานระบุชัดเจนว่า "กฎหมายไม่บังคับให้นายจ้างต้องจ่ายโบนัส" ต่างจากบางประเทศที่มีกฎหมายบังคับจ่ายเงินเดือนเดือนที่ 13 (13th Month Pay) ในไทยโบนัสถือเป็น "สภาพการจ้าง" ที่เกิดจากข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นที่น่าสนใจคือ "สัญญาโดยปริยาย" (Implied Contract) หากบริษัทใดจ่ายโบนัสในอัตราคงที่ (เช่น 1 เดือน) ติดต่อกันเป็นเวลานานจนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติของบริษัท หากปีใดหยุดจ่ายโดยไม่มีเหตุผลอันควร ลูกจ้างอาจมีสิทธิ์เรียกร้องได้ตามกฎหมาย

จากสินน้ำใจ สู่เครื่องมือกลยุทธ์

ในปี 2025 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน "โบนัส" กำลังถูกท้าทาย บริษัทไทยหลายแห่งเริ่มเปลี่ยนจากระบบ "Fixed Bonus" (การันตีจ่ายแบบแต๊ะเอียเดิม) ไปสู่ "Variable Bonus" (ผันแปรตามผลงานแบบตะวันตก) มากขึ้น

โบนัส ณ วันนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่เงินก้อนที่สะท้อนถึงความใจดีของนายจ้าง หรือเงินที่เอาไว้ซื้อของขวัญวันปีใหม่อีกต่อไป 

แต่คือเครื่องมือชี้วัดสุขภาพขององค์กร และเป็นกระจกสะท้อนวัฒนธรรมการทำงานแบบไทยที่พยายามประนีประนอมระหว่าง "น้ำใจแบบดั้งเดิม" กับ "ระบบทุนนิยมสมัยใหม่" เข้าด้วยกัน

เกร็ดน่ารู้ : อย่าลืมว่า "เงินโบนัส" ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 ซึ่งต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย

ที่มา : investopedia thehenryford.org ijirem britannica lmanac

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

related