svasdssvasds

ผลวิจัยชี้ "แมว" ร้องเหมียวใส่ผู้ชายมากกว่าหญิง เพื่อเรียกร้องความสนใจ

ผลวิจัยชี้ "แมว" ร้องเหมียวใส่ผู้ชายมากกว่าหญิง เพื่อเรียกร้องความสนใจ

ผลวิจัยชี้ว่าแมวมักจะส่งเสียงร้องทักทายเจ้าของที่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง หวังกระตุ้นให้หันมาสนใจและดูแล

SHORT CUT

  • ผลวิจัยในตุรกีพบว่า แมวมีแนวโน้มส่งเสียงร้องทักทายเจ้าของที่เป็นผู้ชายบ่อยกว่าเจ้าของที่เป็นผู้หญิงอย่างมีนัยสำคัญ
  • นักวิจัยสันนิษฐานว่า แมวอาจต้องพยายามเรียกร้องความสนใจจากผู้ชายมากกว่า เนื่องจากผู้หญิงมักมีปฏิสัมพันธ์และเข้าใจความต้องการของแมวได้ดีกว่าอยู่แล้ว
  • พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถของแมวในการปรับเปลี่ยนการสื่อสารให้เข้ากับบุคคล เพื่อให้ได้รับความสนใจตามที่ต้องการ ไม่ใช่เพราะชอบเพศใดเป็นพิเศษ

ผลวิจัยชี้ว่าแมวมักจะส่งเสียงร้องทักทายเจ้าของที่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง หวังกระตุ้นให้หันมาสนใจและดูแล

ตลอดระยะเวลากว่า 10,000 ปีของการเป็นสัตว์เลี้ยง แมวได้เรียนรู้ที่จะใช้เสียงร้อง “เหมียว” เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการจาก “ทาส” อย่าง “มนุษย์” สอดคล้องกับผลการศึกษาของทีมนักวิจัยในตุรกีที่พบว่า แมวมักจะส่งเสียงทักทายเจ้าของที่เป็นผู้ชายบ่อยกว่าเจ้าของผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนี่อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่แมวใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์เพื่อให้ได้รับความสนใจที่คู่ควร

คาน เคอร์มัน ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัยพฤติกรรมสัตว์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ จากมหาวิทยาลัย Bilkent University ในตุรกี กล่าวว่า ผลการวิจัยใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของแมวในการจำแนกบุคคลที่มีความผูกพันและปรับเปลี่ยนการตอบสนองของตัวเองให้เหมาะสม พร้อมเสริมว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า แมวไม่ใช่เครื่องจักรกลอัตโนมัติ แต่มีความสามารถและทักษะทางปัญญาที่ช่วยให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างยืดหยุ่น

แม้จะมีภาพลักษณ์ว่าเย็นชาและไม่เป็นมิตร แต่ในความเป็นจริงแล้ว แมวเป็นสัตว์ที่สื่อสารเก่งมากและเป็นปรมาจารย์ในการปรับตัวเข้ากับกลุ่มสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลาย

แมวไม่ได้มาหาเราแค่ตอนหิว

“เคอร์มัน” เสริมว่า ทั้งในจินตนาการของคนทั่วไปและในวงการวิทยาศาสตร์ ช่วงหนึ่งเคยมองว่าแมวเป็นสัตว์รักสันโดษที่ไม่ต้องการความผูกพันทางสังคมมากนัก แต่ความเป็นจริงแล้ว แมวมีนิสัยชอบเข้าสังคมมากกว่าที่เคยคิดกัน แมวไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เพียงเพื่อขออาหารเท่านั้น แต่ยังแสวงหาการติดต่อทางสังคมและสร้างความผูกพันกับผู้ดูแลอย่างจริงจัง

 

 

 

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethology ระบุว่า การทักทายคือส่วนสำคัญในนิสัยรักสังคมของแมว เพราะช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่างแมวบ้านกับมนุษย์

เพื่อให้เข้าใจวิธีที่แมวทักทายมนุษย์มากขึ้น นักวิจัยได้ติดกล้องให้กับเจ้าของแมว 40 คน และขอให้ถ่ายวิดีโอ 100 วินาทีแรกของการมีปฏิสัมพันธ์กับแมวหลังจากกลับถึงบ้าน โดยผู้เข้าร่วมได้รับคำแนะนำให้ทำตัวตามปกติเพื่อให้ได้ภาพการตอบโต้ที่เป็นธรรมชาติ จากนั้น นักวิจัยจึงนำฟุตเทจไปวิเคราะห์ เพื่อดูความสัมพันธ์ของพฤติกรรมต่าง ๆ และปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อพฤติกรรมของแมว

ผลจากการวิเคราะห์วิดีโอของผู้เข้าร่วม 31 คน หลังมีผู้ถูกคัดออก 9 คน เนื่องจากเหตุผลหลายประการ พบว่า แมวส่งเสียงร้องทักทายผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมนุษย์เดินเข้าบ้าน พร้อมเสริมว่า ไม่มีปัจจัยทางประชากรศาสตร์อื่นใดที่มีผลต่อความถี่หรือระยะเวลาของการทักทายอย่างเห็นได้ชัด

นักวิจัยยังพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่าง เพศของแมว สายพันธุ์และจำนวนแมวในบ้าน แต่พบว่า เพศของมนุษย์เป็นปัจจัยเดียวที่มีอิทธิพลต่อการส่งเสียงร้องของแมวอย่างมีนัยสำคัญ

ทำไมต้องร้องเหมียวใส่ผู้ชาย?

นักวิจัยสันนิษฐานว่า สาเหตุที่แมวส่งเสียงร้องกับผู้ชายมากกว่าอาจเป็นเพราะโดยปกติแล้วผู้หญิงมักจะใช้เวลาในการพูดคุยหรือเล่นกับแมวมากกว่า รวมถึง สามารถตีความความต้องการของแมวได้ดีกว่า ในขณะที่ผู้ชายอาจต้องการการกระตุ้นมากกว่า แมวจึงต้องส่งเสียงร้องมากขึ้นก่อนที่จะได้รับความสนใจอย่างเพียงพอ

 

 

นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยยังคาดเดาว่า ปัจจัยทางวัฒนธณรมอาจมีส่วนเกี่ยวข้องต่อผลการศึกษา เนื่องจากผลวิจัยก่อนหน้านี้พบว่า ผู้คนในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันจะมีปฏิสัมพันธ์กับแมวต่างกันออกไป และสิ่งนี้ยังส่งผลต่อวิธีที่แมวตอบสนองต่อมนุษย์ด้วย โดยในกรณีนี้ กลุ่มตัวอย่าง อาศัยอยู่ในตุรกี ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าผู้ชายในตุรกีอาจมีแนวโน้มพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะกับแมวน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม การตีความนี้ยังเป็นเพียงการคาดการณ์และจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต

ข้อสรุปและข้อจำกัดของงานวิจัย

ทีมวิจัยยังพบว่าการร้องเหมียว ๆ และการส่งเสียงอื่น ๆ ไม่ได้สอดคล้องกับรูปแบบพฤติกรรมที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งหมายความว่า เสียงร้องเหล่านี้ไม่ได้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงสถานะทางอารมณ์หรือความต้องการอันเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป

นักวิจัยยอมรับว่าการศึกษานี้ยังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น กลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเล็กและผู้เข้าร่วมมาจากภูมิภาคเดียวกัน รวมถึงไม่ได้ควบคุมปัจจัยสำคัญอื่น ๆ เช่น ระดับความหิวของแมวในตอนที่เจ้าของกลับถึงบ้าน จำนวนสมาชิกในครัวเรือนหรือระยะเวลาที่แมวถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง ซึ่งงานวิจัยก่อนหน้านี้บ่งชี้ว่า แมวอาจตอบสนองต่อมนุษย์แตกต่างกันออกไป เช่น ส่งเสียงครางหรือยืดตัวมากขึ้นเมื่อถูกแยกจากเจ้าของเป็นเวลานาน ดังนั้น ผลลัพธ์จึงไม่ได้หมายความว่าแมวจะร้องใส่ผู้ชายมากกว่าเสมอไป

“เคอร์มัน” กล่าวว่า ขั้นตอนสำคัญถัดไปคือการทำซ้ำการศึกษาในบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าผลลัพธ์นี้สามารถนำไปใช้ทั่วไปได้มากน้อยเพียงใด

ขณะที่ เดนนิส เทอร์เนอร์ ผอ.สถาบันสถาบันจริยธรรมประยุกต์และจิตวิทยาสัตว์ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยนี้ กล่าวว่า ประทับใจกับข้อค้นพบนี้ พร้อมเสริมว่า ชอบสมมติฐานของผู้เขียนวิจัยเกี่ยวกับสาเหตุของผลลัพธ์นี้และสงสัยว่าผู้อชายอาจให้ความสนใจกับเสียงร้องของแมวน้อยกว่าในโอกาสอื่น ๆ หรืออาจมีการตอบสนองต่อเสียงทักทายเหล่านั้นแตกต่างไปจากผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นระดับความแรงของปฏิกิริยาหรือความถี่ของเสียงที่ใช้ตอบกลับ

“เทอร์เนอร์” เสริมว่า งานวิจัยจำนวนมากของทีมแสดงให้เห็นว่าผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับแมวในครัวเรือนที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงมักพูดกับแมวมากกว่าและมีแนวโน้มจะก้มลงมาอยู่ในระดับสายตาเดียวกับแมวขณะเล่นหรือสื่อสาร พร้อมทิ้งท้ายว่า แมวอาจไม่ได้ชอบทาสเพศใดเพศหนึ่งเป็นพิเศษ แต่การที่แมวร้องใส่ผู้ชายมากกว่าน่าจะเป็นสัญญญาณของความยืดหยุ่นทางสังคมของแมวที่รู้จักปรับตัวเพื่อเป้าหมายที่ต้องการนั่นเอง

ที่มา : Live Science

 

 

 

related