svasdssvasds

วิธีดูแลสุขภาพ สำหรับคนทำงานหนัก แค่ปรับวันละนิด ชีวิตดีขึ้น !

วิธีดูแลสุขภาพ สำหรับคนทำงานหนัก แค่ปรับวันละนิด ชีวิตดีขึ้น !

5 วิธีดูแลสุขภาพให้อายุยืน แม้ต้องทำงานหนัก "สุขภาพดีไม่ต้องเพอร์เฟกต์: เริ่มจากเป้าหมายที่ทำได้จริง ปรับแผนเมื่อจำเป็น และให้อภัยตัวเองเมื่อพลาดบ้าง

SHORT CUT

  • กำหนดเป้าหมายสุขภาพที่ทำได้จริง: บทความเน้นย้ำว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพควรค่อยเป็นค่อยไป และเน้นการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ไม่ใช่การพลิกโฉมไลฟ์สไตล์อย่างรุนแรง
  • เข้าใจแรงจูงใจส่วนตัว: การรู้ว่าอะไรคือสิ่งกระตุ้นที่คุณอยากมีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดี จะช่วยให้คุณเลือกพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมกับตัวเองได้
  • ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อสุขภาพที่ดี: แม้เพียง 3% ของเวลาในแต่ละวัน หรือประมาณ 43 นาที ก็สามารถนำไปใช้กับการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมได้อย่างมหาศาล

5 วิธีดูแลสุขภาพให้อายุยืน แม้ต้องทำงานหนัก "สุขภาพดีไม่ต้องเพอร์เฟกต์: เริ่มจากเป้าหมายที่ทำได้จริง ปรับแผนเมื่อจำเป็น และให้อภัยตัวเองเมื่อพลาดบ้าง

เราทุกคนรู้ดีว่า “สูตรการมีอายุยืน” นั้นไม่ได้ลับอะไรเลย  ขอแค่ กินดี นอนหลับให้พอ ออกกำลังกาย  แต่สำหรับคนที่มีเวลาแต่ละวันจำกัด ชีวิตที่ทำงานหมุนไปไม่หยุด ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า... จะเริ่มตรงไหนดี?

ทั้งนี้ นักวิจัยด้านชราภาพเตือนว่า อย่าเพิ่งไปทำตามอินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพแบบเป๊ะทุกข้อ เพราะการตั้งเป้าหมายสูงเกินไป อาจพาไปสู่ความรู้สึกท้อแท้และเลิกล้มกลางทางได้

สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ทำได้จริง แม้วันละไม่กี่นาที ก็ส่งผลต่อสุขภาพและลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้แล้ว นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (UCLA) ชี้ว่าพฤติกรรมง่าย ๆ เหล่านี้มีอิทธิพลต่ออายุยืนมากกว่าที่คิด

1.เริ่มจาก “เหตุผลของคุณ” ที่อยากมีอายุยืน 

ก่อนจะกระโดดเข้าสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมใด ๆ ลองหยุดคิดก่อนว่า “ทำไมคุณถึงอยากมีอายุยืน?”


เหตุผลนั้นอาจจะเรียบง่าย เช่น อยากมีแรงพาเจ้าตัวเล็กไปเดินเล่น อยากยังคงเล่นหมากรุกกับเพื่อนเก่าได้แม้อายุ 90 หรืออาจจะลึกซึ้งกว่านั้น เช่น ไม่อยากให้โรคเบาหวานหรือหัวใจล้มเหลวที่พรากพ่อแม่คุณไป ต้องเกิดซ้ำในชีวิตตัวเอง

แรงจูงใจที่เป็น “ของคุณจริง ๆ” จะกลายเป็นเข็มทิศที่ช่วยให้คุณเลือกพฤติกรรมที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ตามกระแส ตัวอย่างเช่น หากคุณมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน หรือความดันสูง คุณอาจเริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมการกิน ลดน้ำตาลและโซเดียม ควบคู่ไปกับการเดินเร็วหรือออกกำลังกายเบา ๆ ทุกวัน

ในทางตรงกันข้าม หากคุณมองเห็นภาพอนาคตของตัวเองว่าอยากยังเดินขึ้นเขา ถ่ายรูป ดื่มกาแฟกับเพื่อนในวัย 80+ การดูแลข้อเข่า กล้ามเนื้อ และความยืดหยุ่นของร่างกายก็อาจเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ

2.อย่าคาดหวังสูงเกิน และกล้าที่จะเปลี่ยนแผน

หลายคนเริ่มต้นเส้นทางดูแลสุขภาพด้วยแรงบันดาลใจล้นทะลัก ตั้งเป้าแบบจัดเต็ม เช่น จะออกกำลังกายทุกวัน จะเลิกขนมหวานเด็ดขาด หรือตื่นตีห้าไปวิ่งทุกเช้า แต่พอผ่านไปไม่กี่วันกลับรู้สึกท้อ เพราะแผนเหล่านั้นไม่เข้ากับชีวิตจริงที่เต็มไปด้วยงานด่วน การเดินทาง หรือภาระที่ไม่คาดคิด

สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่การตั้งเป้าที่ “สมบูรณ์แบบ” แต่คือการตั้งเป้าที่ “ทำได้จริงในบริบทของเรา” เช่น อาจเริ่มจากลดขนมแปรรูปเหลือแค่วันเว้นวัน แทนที่จะงดทันที ลองนั่งสมาธิแค่วันละ 5 นาที หรือเลือกออกกำลังกายเบา ๆ อย่างเดินเร็วหรือโยคะ สัปดาห์ละ 2–3 วัน แทนที่จะบังคับตัวเองให้ไปฟิตเนสทุกวัน

พอทำไปสักพัก ให้มีช่วงเวลา ทบทวนเป็นประจำ อาจเป็นทุกสุดสัปดาห์ หรือทุกต้นเดือน ถามตัวเองว่า “ฉันยังอยากทำสิ่งนี้อยู่ไหม? ฉันรู้สึกดีขึ้นจริงหรือเปล่า? หรือมันกำลังกลายเป็นภาระ?”

ถ้าทำไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องล้มเหลว แต่เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาปรับเป้าให้เหมาะขึ้นอีกนิด ลองถามตัวเองด้วยความซื่อสัตย์ว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันอยากทำจริงไหม? หรือแค่รู้สึกว่าควรทำตามคนอื่น?”

ถ้าคำตอบคือมันยากเกินไป อาจเปลี่ยนเป็นกิจกรรมที่คล้ายกันแต่เบาลง เช่น ลองนั่งสมาธิวันละ 5 นาที หรือออกกำลังกายสั้น ๆ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จงจำไว้ว่าการดูแลตัวเองไม่ใช่การสอบวัดผล แต่คือกระบวนการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ยิ่งคุณเปิดใจให้ตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะทำสิ่งดี ๆ ต่อสุขภาพได้ยาวนานขึ้นอย่างยั่งยืน

วิธีดูแลสุขภาพ สำหรับคนทำงานหนัก แค่ปรับวันละนิด ชีวิตดีขึ้น !

3.ใช้แค่ 3% ของวันเพื่อขยับร่างกาย

ถ้ามีเวลาแค่พอเลือกหนึ่งอย่าง จงเลือกออกกำลังกาย “มันส่งผลทั้งกับหัวใจ สมอง การเผาผลาญ และยังช่วยให้นอนดีขึ้น” การวิจัยจาก Stanford บอกว่าแค่ 30 นาทีต่อวัน ของการเคลื่อนไหวระดับปานกลาง ก็ลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องทำรวดเดียว!
แบ่งเป็นช่วงสั้น ๆ วันละ 3-5 นาที เช่น ขึ้นบันได ทำสควอช หรือวิดพื้น ก็ได้ผลเช่นกัน

4.ตื่นให้ตรงเวลาในทุกเช้า

การนอนที่ไม่สม่ำเสมอสัมพันธ์กับโรคมากมาย เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า และภาวะสมองเสื่อม
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรนอนประมาณ 7 ชั่วโมงแบบไม่สะดุ้งตื่น เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมเต็มที่

เคล็ดลับง่าย ๆ คือ: ตื่นเวลาเดิมทุกวัน แม้จะรู้สึกง่วง เพราะมันจะช่วยปรับนาฬิกาชีวิต และทำให้ง่วงตรงเวลาในคืนถัดไป

5.“สมาธิที่ทำง่ายได้ทุกวัน”

ความเครียดเรื้อรัง ความโดดเดี่ยว และภาวะซึมเศร้าเป็นตัวเร่งอายุสั้น แต่วิธีต้านมันกลับง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ แค่วันละไม่กี่นาทีของ สมาธิหรือการขอบคุณสิ่งเล็ก ๆ

อีกวิธีคือฝึก “การสังเกตอย่างมีสติ” เช่น เดินไปข้างนอกแล้วสังเกตสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว หรือสังเกตเพื่อนร่วมงานให้เจอความต่าง 3 อย่างในวันนี้ “เมื่อเรามีสติอยู่กับปัจจุบัน เราแก้ปัญหาได้หลายทาง ไม่หัวร้อนง่าย และแทนที่จะพยายามยืดชีวิตด้วยปี เราจะได้ เติมชีวิตให้ทุกวันแทน” 

ที่มา nytimes

related