svasdssvasds

ภาวะหมดไฟ จาก ‘งานประจำ’ หนีกรุงฯ ไปทำเกษตร Success จริงหรือ?

ภาวะหมดไฟ จาก ‘งานประจำ’ หนีกรุงฯ ไปทำเกษตร Success จริงหรือ?

สังคมยุคนี้เชื่อว่าทำให้หลายคนเกิด 'ภาวะหมดไฟ' ไม่อยากทำงาน ทำอะไรต่อทั้งนั้น อยากลาออกจากงานประจำหนีกรุงฯ ไปทำเกษตร ที่ต่างจังหวัด แต่..Success จริงหรือ?

SHORT CUT

  • ในยุคนี้ชีวิตการทำงานในเมืองหลวง หรือในพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ต้องเผชิญกับแรงกดดัน
  • จากความเครียด ภาวะหมดไฟ จึงให้คนต่างจังหวัดที่มาขายแรงในเมืองใหญ่ มีแนวคิดอยากกลับบ้านเกิดไปทำอะไรเล็กๆน้อยๆ ใช้ชีวิตแบบพอเพียง การทำเกษตรผสมผสมผสาน คือ ความฝันของใครหลายคนแน่นอน
  • วันนี้จะพาคนที่อยากลาออกจากงานประจำหนีกรุงฯ ไปทำเกษตร ที่ต่างจังหวัด  ว่ามัน..Success จริงหรือ? 

สังคมยุคนี้เชื่อว่าทำให้หลายคนเกิด 'ภาวะหมดไฟ' ไม่อยากทำงาน ทำอะไรต่อทั้งนั้น อยากลาออกจากงานประจำหนีกรุงฯ ไปทำเกษตร ที่ต่างจังหวัด แต่..Success จริงหรือ?

ชีวิตการทำงานในเมืองหลวง หรือในพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหน้าที่การงาน คนรอบข้าง ภาวะสังคมที่เปลี่ยนไป รถติด ความแออัด ปัญหาสิ่งแวดล้อม และอื่นๆอีกมากมาย สิ่งเหล่านั้นจะเป็นตัวบั่นทอนให้คนต่างจังหวัดที่มาขายแรงในเมืองใหญ่ มีแนวคิดอยากกลับบ้านเกิดไปทำอะไรเล็กๆน้อยๆ ใช้ชีวิตแบบพอเพียง การทำเกษตรผสมผสาน คือ ความฝันของใครหลายคนแน่นอน เพราะที่ผ่านมาก็มีให้เห็นมากมาย แต่..บางคนทำแล้วรุ่ง และบางคนทำแล้วร่วงก็มีให้เห็น

โดยข้อมูลจาก โครงการบัณฑิตคืนถิ่น เผยว่า คนรุ่นใหม่ที่กลับภูมิลำเนาแล้วหันมาทำเกษตรมีแนวโน้มประสบความสำเร็จมากขึ้น หากได้รับการสนับสนุนเรื่องทุน ความรู้ และตลาด ขณะที่ กรมส่งเสริมการเกษตร  รายงานว่า ที่ผ่านมามีผู้ขอคำปรึกษาและเข้าร่วมโครงการ "เกษตรทฤษฎีใหม่" เพิ่มขึ้น 20% หลังโควิด-19 ระบาดทั้งนี้เหตุผลที่คนไทยลาออกจากงานประจำมาทำเกษตร คือ ต้องการชีวิตที่สมดุล (Work-Life Balance) , กระแส “เกษตรพอเพียง” ตามแนวพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 , แรงผลักจากวิกฤตโควิด-19 และเศรษฐกิจ , เทคโนโลยีและความรู้เข้าถึงง่ายขึ้น , ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์หรือสินค้าเฉพาะทางเติบโต

ภาวะหมดไฟ จาก ‘งานประจำ’ หนีกรุงฯ ไปทำเกษตร Success จริงหรือ?

จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เห็นภาพของคนรุ่นใหม่หันมาเกษตรมากขึ้น วันนี้ #SPRiNG จะพาไปดูกรณีศึกษาจาก คุณบุ๋ม “มยุรี บุญศรี” TikTok ช่องมยุรี บุญศรี ที่ได้เผยแพร่คลิปบอกเล่าเรื่องราว การลาออกจากงานประจำ ของเธอในวัย 39 ปี กลับต่างจังหวัดที่ภาคอีสาน หลังเธอรู้สึกอิ่มตัวจากงานประจำ และเบื่อสังคมเมือง พร้อมที่จะกลับบ้านไปดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าไปทุกวัน โดยเธอได้กลับมาทำเกษตรผสมผสาน แล้วให้แม่นำไปขายในหมู่บ้านของเธอ และปัจจุบันยังมีพ่อค้าแม่ค้ามาซื้อ และรับไปขายต่ออีกด้วย

นอกจากนี้เธอยังถ่ายคลิป และทำเป็นเรื่องราวถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆลงช่อง TikTok จนมีผู้ติดตามจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นคนต่างจังหวัดแล้วเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่ แล้วมีอารมณ์อยากลาออกจากงานประจำกลับไปปลูกผัก ทำเกษตรขาย ในบ้านเกิดของตัวเอง

โดยคุณบุ๋ม เล่าว่า คนที่จะลาออกจากงานประจำ และไปทำเกษตรต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำเกษตร สำหรับใครที่อยากมีชีวิตเหมือนคุณบุ๋ม อยากมีสวนผัก ตื่นเช้าขึ้นมาเก็บผักขาย นี่คือคำถามสุดฮอตที่ถามเธอผ่านโลกออนไลน์บ่อยครั้ง และเธอมักจะตอบกลับเสมอว่า ชีวิตที่เธอใช้อยู่ทุกวันนี้ คือ ชีวิตที่อยู่ในความฝันเมื่อตอนที่เธอยังทำงานประจำอยู่ เธอย้ำว่า เธอมีความสุขในสิ่งที่เธอทำ แต่เธอก็บอกกับทุกคนว่าการทำเกษตรเหนื่อยนะทุกคน

ส่วนตัวเขายังมองอีกว่า การทำเกษตรไม่ได้มี ความมั่นคง หรือแน่นอน ซึ่งสวนทางกับภาพความฝันที่หลายคนอาจมองว่าการกลับบ้านทำการเกษตรกรพอเพียงชีวิตจะดีขึ้น เธอย้ำว่า ความพึงพอใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนอาจคาดหวังว่าทำเกษตรขายจะสร้างรายได้มหาศาล แต่..ส่วนตัวพอใจกับการตื่นขึ้นมาได้เดินดูสวน คลุกฝุ่นคลุกดิน รดน้ำผัก เก็บผักขาย แบบสบายใจ และหารายได้เสริมจากอื่นๆ เช่นการเป็นนายหน้า TikTok และหารายได้จากการลูกค้ามาลงโฆษณาในช่องของเธอ รวมถึงการเลี้ยงวัวขายด้วย รายได้ต้องมีหลากหลายช่องทาง

แต่…สำหรับคนที่ตั้งใจจะมาทำเกษตรขายอย่างเดียวต้องทำการบ้านให้ดี เพราะไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิด เพราะบางคนต้องเจอ หนอน มดแดง ดิน ความร้อน ความเหนื่อยอาจทำให้ไม่ชอบก็ได้ และรายได้จากการทำเกษตรไม่ได้เป็นก้อน เพราะการทำเกษตรผสมผสานจะไม่เห็นเงินเป็นก้อน อาจมีรายได้วันละ 200-300บาท แล้วแต่ละคนไป ซึ่งแตกต่างจากการเกษตรเชิงเดี่ยวที่สามารถได้หลักพันหลักหมื่นต่อครั้ง

ถ้าเก็บหอมรอมริบไม่เป็น หรือวางแผนทางการเงินไม่ดีก็น่าห่วง การทำเกษตรมีอยู่มีกิน แต่ไม่ ร่ำรวยค่ะ บุ๋มเองก็มีอาชีพเสริมมีรายได้เสริมจากช่องทางอื่นๆมากกว่าการทำเกษตร การทำเกษตรจะทำแค่ช่วงเช้ากับช่วงเย็น เพราะกลงวันร้อนทำให้มีเวลาว่างในช่วงกลางวันและกลางคืน หากมีเวลาว่างที่ก็สามารถใช้ ไปหาความรู้ด้า อื่นๆ หรือไปฝึกฝนสกิลด้านอื่นๆให้กับตัวเองได้เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการหารายได้เสริมได้มากขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีในการสร้างความมั่นคงในระยะยาว

นอกจากนี้เธอยังบอกว่า การทำเกษตรไม่อาจทำให้เราร่ำรวยได้ แต่…สิ่งที่มั่นคงที่สุดของชีวิตนี้ คือ มีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านอาหาร ซึ่งเป็นความได้เปรียบที่สำคัญของการผลิตอาหารเอง และเธอยังเตือน และมีข้อควรระวังในการลงทุนทำเกษตรครั้งแรกว่าควรระมัดระวังในการลงทุนครั้งแรก หลีกเลี่ยงการลงทุนด้วยเม็ดเงินก้อนใหญ่แล้วคาดหวังจะให้คืนทุน 5 ปี หรือ 10 ปี บอกได้เลยว่าค่อนข้างจะเหนื่อย ถ้าไม่ทำเป็นเชิงธุรกิจจริงๆ ถือได้ว่าเป็นความเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยง ส่วนตัวเริ่มต้นจากการใช้แรงงานตัวเอง ใช้สิ่งของที่มีอยู่ในสวน เน้นลงทุนด้านเงินให้น้อยที่สุด

แน่นอนว่าชีวิตการทำเกษตรผสมผสานของคุณบุ๋ม คือภาพสะท้อนของความสุขที่ได้ทำตามความฝัน แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความไม่มั่นคงทางการเงิน การตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำเกษตรจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความคาดหวังส่วนบุคคล การบริหารจัดการการเงิน และความพร้อมที่จะเผชิญกับความยากลำบากต่างๆ นอกจากนี้การมีแหล่งรายได้เสริม และการเริ่มต้นลงทุนด้วยความระมัดระวังก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตในรูปแบบนี้ประสบความสำเร็จและยั่งยืนได้จริง

ต่อมาพามาฟังอีกหนึ่งมุมมองจากเจ้าของ TikTok ช่องผักดอยโอเค ที่เผยเรื่องราวของตัวเองผ่านคลิปวิดีโอสั้น ว่าลาออกจากอาชีพเกษตรไปทำงานประจำ โดยเขาเล่าว่า เขาจบปริญญาโท คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเริ่มทำสวนปลูกผักทันทีหลังเรียนจบ โดยเป็นธุรกิจแรกในชีวิตที่ทำมาประมาณ 3-4 ปี การปลูกผักที่ว่ายากแล้ว ยากกว่าการปลูกผักคือความเสี่ยง เพราะอาชีพเกษตรกรรมมีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งจากสภาพอากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ ความเสี่ยงด้านราคา และการถูกโกง

เขาลั่นชัดเจนว่า อาชีพเกษตรไม่สามารถเลี้ยงเขา และครอบครัวได้อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะเลิกทำเกษตรกรรม แต่เขาบอกว่าไม่เคยเสียดายเลยเพราะที่ผ่านมาได้ทำอย่างเต็มที่ ได้นำเอาความรู้ที่ผมเรียนจบเกษตรมาเอามาใช้ แล้วก็ได้ทดลองทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่เขาอยากจะทำพร้อมทุ่มเทอย่างเต็มที่ทำให้ไม่มีอะไรต้องเสียใจ จากนั้นเขาสอบติดราชการ และได้ทำงานราชการด้านการเกษตร และทำการเกษตรเล็กๆควบคู่ไปกับงานประจำ ทำให้เขายังสามารถทำธุรกิจเดิมได้ โดยไม่กระทบต่องานราชการ ซึ่งเขาตั้งใจทำงานราชการเพื่อดูแลพี่น้องเกษตรกรไปด้วย

พร้อมกันนี้เขาทิ้งท้ายว่า ชีวิตของคนเรามันไม่แน่ไม่นอนจริงๆ บางอย่างที่เราคิดว่ามันใช่แล้วมันถูกต้องแล้ว สำหรับเขาบางทีมันอาจจะมีการเป็นเปลี่ยนแปลงในอนาคตข้างหน้าก็ได้ พร้อมให้กำลังใจทุกคนที่กำลังตัดสินใจเปลี่ยนแปลงเส้นทางอาชีพ ไม่ว่าจะลาออกจากงานไปทำการเกษตร หรือ ตัดสินใจลาออกจากการเกษตรไปทำงานประจำ ไม่ว่าจะอย่างไรต้องขยันที่จะเรียนรู้ มุ่งมั่น และยอมรับความไม่แน่นอนของชีวิตให้ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related