
SHORT CUT
ผลสำรวจชี้ 1 ใน 3 คนทำงานสหรัฐฯ ใช้วันลาพักร้อนเพื่อ "นอน" โดยเฉพาะ Gen Y ที่กำลังแบกภาระหนัก สะท้อนภาวะ Burnout และเทรนด์ใหม่ Sleep Tourism
"คุณทำอะไรบ้างในวันลาพักร้อนที่ผ่านมา?" นี่อาจฟังดูเป็นคำถามธรรมดา แต่เมื่อบริษัทเครื่องนอน Amerisleep นำไปสำรวจพฤติกรรมคนทำงานกว่า 1,200 คนในสหรัฐอเมริกา
กลับพบเทรนด์ที่น่าสนใจและสะท้อนภาพสังคมยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน นั่นคือ คนจำนวนมากเลือกใช้วันลาพักร้อนอันมีค่าไปกับการ "นอนหลับพักผ่อนอยู่บ้าน แทนที่จะวางแผนออกไปท่องเที่ยว"
ผลสำรวจพบว่า คนเจเนอเรชั่น Y (Millennials) คือกลุ่มที่เลือกนอนอยู่บ้านมากที่สุดถึง 43% ตามมาด้วย Gen X (34%), Gen Z (33%) และเบบี้บูมเมอร์ (20%) ไม่เพียงเท่านั้น ยังพบว่ากลุ่มคนที่มีรายได้สูง ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะใช้วันหยุดเพื่อ "การนอนหลับ" มากกว่า
ตัวเลขนี้สะท้อนชัดเจนว่า เรากำลังอยู่ใน "สังคมแห่งการพักผ่อนไม่เพียงพอ" (Sleep-deprived society) โดยกว่า 1 ใน 3 ของคนทำงานในสหรัฐฯ กำลังโหยหาการนอนให้เต็มอิ่ม อันเป็นผลจากความเครียดและการทำงานหนักที่สะสมมานาน
โดยเฉพาะคน Gen Y ที่กำลังเป็น 'เดอะแบก' ในหลายองค์กร และหลายคนกำลังอยู่ในช่วงวัยที่ต้องรับผิดชอบสูง ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เลี้ยงดูลูกเล็ก และดูแลพ่อแม่วัยชรา ภาระหน้าที่ที่หนักอึ้งนี้ส่งผลให้พวกเขาเผชิญกับภาวะ Burnout มากกว่าคนเจนฯ อื่น
การลาพักร้อนเพื่อ "นอน" จึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุด เพราะการออกไปเที่ยวหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และการต้องใช้พลังงานไปกับการวางแผนและการเดินทาง ซึ่งอาจทำให้เหนื่อยล้ากว่าเดิม
แม้แต่ในยามที่ผู้คนเลือกจะออกไปเที่ยว "การนอน" ก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ผลสำรวจเดียวกันชี้ว่า 47% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยอมจ่ายแพงขึ้นถึง 25% เพื่อรับประกันว่าจะได้ "นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม" ในระหว่างทริปนั้นๆ
ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับการเติบโตของเทรนด์ "Sleep Tourism" หรือการท่องเที่ยวที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์การนอนอย่างมีคุณภาพโดยเฉพาะ Amerisleep
พบว่ายอดการค้นหาคำว่า "Wellness Travel" (การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ) บน Google พุ่งสูงขึ้นกว่า 95% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่คำที่เฉพาะเจาะจงอย่าง "Sleep Resort" หรือ "Sleep Vacation" ก็ถูกค้นหาสูงขึ้นกว่า 30%
รายงานจาก HTF Market Intelligence ในปี 2024 ยังตอกย้ำเทรนด์นี้ โดยประเมินว่าตลาด Sleep Tourism ทั่วโลก มีมูลค่ามหาศาลถึง 6.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตอีกกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028
ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องอย่าง Sleep Tech (เทคโนโลยีเพื่อการนอน) หรือ Sleep Clinic (คลินิกการนอนหลับ) เป็นตลาดที่น่าจับตามองอย่างยิ่งเช่นกัน
ที่มา : AOL, unitenewsonline, athletechnews