
SHORT CUT
ถอดมุมมองผู้บริหารระดับสูง รวมถึงผู้นำประเทศ : ทำงานหนัก สู่ความสำเร็จ — เมื่อ "Work-Life Balance" เป็นเพียงภาพลวงตา
ท่ามกลางกระแสการเรียกร้องความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) ที่แพร่หลายในโลกยุคใหม่ กลับมีเสียงอันทรงพลังจาก ผู้บริหารระดับโลกและผู้นำชั้นนำ ที่ส่งสัญญาณสวนทาง พวกเขาไม่ได้มองว่างานคือสิ่งที่ต้อง "สมดุล" แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เพื่อให้บรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ การทำงานหนักไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็น "วิถี" และ "ความได้เปรียบ" ในโลกที่การแข่งขันดุเดือด
ผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะตำแหน่ง CEO มักแสดงออกถึงความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อ "การทำงานหนัก" (Hard Work) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของทั้งตนเองและองค์กร
แบบอย่างและความมุ่งมั่น: ผู้นำเหล่านี้หลายคนเป็นแบบอย่างในการทำงานที่หนักหน่วงและยาวนาน เช่น กรณีของ อีลอน มัสก์ ซีอีโอ Tesla และ SpaceX ที่เคยกล่าวอย่างชัดเจนว่า: "จงทำงานหนักอย่างกับนรก... คุณต้องทำสัปดาห์ละ 80 ถึง 100 ชั่วโมงในทุกสัปดาห์ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ"
ผสานงานเข้ากับชีวิต: สำหรับผู้บริหารเหล่านี้ ชีวิตและการทำงานมักไม่ใช่สองสิ่งที่ต้องแยกออกจากกันและหาจุดสมดุล เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon อธิบายถึงแนวคิดนี้ว่า: “ชีวิตและการทำงานผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน” และ “มันคือชีวิตที่ประสานกันเป็นวงกลม ไม่ใช่ความหมายของการสร้างสมดุล” นั่นหมายถึง งานคือการเติมเต็มพลังงาน ไม่ใช่การสูบฉีดพลังงาน
ความได้เปรียบในการแข่งขัน: ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปอย่างรวดเร็ว อเล็กซานเดอร์ หวัง มหาเศรษฐีด้าน AI และผู้ร่วมก่อตั้ง Scale AI ชี้ให้เห็นว่า การทุ่มเทเวลาฝึกฝนจนเชี่ยวชาญจะสร้างความได้เปรียบมหาศาล เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นต้องรีบคว้า AI โค้ด สร้าง "10,000 ชั่วโมงแห่งความได้เปรียบ" เพื่อก้าวขึ้นเป็น 'ผู้ชนะ'
ความรับผิดชอบและวินัย: ผู้บริหารระดับสูงต้องเผชิญกับความคาดหวังและแรงกดดันมหาศาลจากหลายฝ่าย การทำงานหนักจึงเป็นสัญลักษณ์ของการแบกรับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ของไทย ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า: "ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ เพราะเวลามีอยู่ไม่มาก ต้องทำงานทุกวันให้คุ้มค่าที่สุด ไม่มีวันหยุดนะ"
โอกาสของคนหนุ่มสาว: แจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba Group เคยให้มุมมองที่จุดประเด็นถกเถียงว่า: “ถ้าไม่ทำงานหนักตอนยังเป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วจะมีโอกาสได้ทำงานแบบนี้ตอนไหนอีก” โดยมองว่าการทุ่มเทในวัยหนุ่มสาวคือ "พร" (blessing) สำหรับผู้ที่ปรารถนาความสำเร็จ
ทว่า ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าต่อการทำงานหนักได้เผยให้เห็นด้านมืดที่น่าสะพรึงกลัวในบางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ที่วัฒนธรรม "บูชิโด" (Bushido) ในอดีตได้ถูกผลิตซ้ำให้กลายเป็นค่านิยมในการอุทิศตนต่องาน นายจ้าง และประเทศ
ปรากฏการณ์ คาโรชิ หรือ "การทำงานจนตัวตาย" ซึ่งมีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึก แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายแรงงานในปี 2018 เพื่อจำกัดชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา (ไม่เกิน 100 ชั่วโมงต่อเดือน และ 720 ชั่วโมงต่อปี) แล้วก็ตาม
แรงกดดันทางสังคม: วิศวกรวัย 30 ปีอย่าง ฮิเดยูกิ เปิดเผยกับบีบีซีว่า เขาใช้สิทธิลาพักร้อนเพียง 2 วันจาก 20 วัน เพราะ "กลัวการถูกดุด่าจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน" สะท้อนว่าในสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอาวุโสและความกลมเกลียว การลาหยุดถือเป็น "ภาระ" ที่ส่งผลกระทบต่อการประเมินผล
แม้จะมีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงจากคนรุ่นใหม่ และบริษัทที่ปรึกษาอย่าง Work Life Balance โดย โยชิเอะ โคมูโระ ที่มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและช่วยเหลือกัน ซึ่งนำไปสู่การทำงานล่วงเวลาที่ลดลงถึง 15% และการลาพักร้อนที่เพิ่มขึ้น 61% แต่การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมที่เป็นพิษนี้ยังคงเป็นงานที่ท้าทาย
วัฒนธรรมการทำงานสุดขั้วไม่ได้จำกัดอยู่แค่เอเชียเท่านั้น ในปีที่ผ่านมา "วัฒนธรรม 996" (ทำงาน 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม, 6 วันต่อสัปดาห์) ซึ่งเคยเป็นที่ถกเถียงในจีนและถูกประกาศว่าผิดกฎหมายไปแล้ว ได้หวนคืนชีพอย่างน่าประหลาดใจใจกลาง ซิลิคอนวัลเลย์
เดิมพันสูงสุดในสงคราม AI: การกลับมาของ 996 ถูกขับเคลื่อนด้วยสงคราม AI ที่ถูกมองว่าเป็นเกม "ผู้ชนะกินรวบ" (winner-takes-all) ความกดดันในการพัฒนานวัตกรรมอย่างรวดเร็วทำให้บริษัทสตาร์ทอัพเชื่อว่าการทุ่มเทเวลาอย่างไม่จำกัดคือปัจจัยชี้ขาด
DNA ดั้งเดิม: นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า ซิลิคอนวัลเลย์ถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของ "Hustle Culture" มาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ภาพลักษณ์ของผู้ก่อตั้งที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำยังคงเป็นมาตรฐานความสำเร็จที่ฝังลึก
แรงจูงใจและการคัดกรอง: บริษัทร่วมลงทุน (VCs) คาดหวังการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้บริษัท AI บางแห่งระบุในประกาศรับสมัครงานว่าคาดหวังการทำงาน 70-80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อคัดกรองบุคลากรที่พร้อมทุ่มเททุกอย่างเพื่อความสำเร็จขององค์กร
แม้ว่าผู้บริหารชั้นนำของโลกจะประกาศว่า "Work-Life Balance ไม่มีจริง" โดยมองว่าชีวิตกับงานคือสิ่งเดียวกัน หรือแม้แต่ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นักการเมืองหญิงคนสำคัญของญี่ปุ่นที่เคยประกาศว่า "ฉันละทิ้งแนวคิดเรื่อง Work-life Balance รวมถึงชีวิตส่วนตัว ฉันจะทำงาน ทำงาน ทำงานและทำงาน..." เพื่อเปลี่ยนความกังวลของประชาชนให้เป็นความหวัง
แต่การทำงานหนักจนตัวตายในญี่ปุ่นและการกลับมาของวัฒนธรรม 996 ในซิลิคอนวัลเลย์ สะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่าง แรงกดดันทางเศรษฐกิจ/เทคโนโลยี กับ ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ที่ต้องการชีวิตที่มีความหมายและสมดุลนอกเหนือจากงาน
คำถามสำคัญที่ทุกองค์กรทั่วโลกต้องตอบ อาจไม่ใช่แค่ว่า "เราต้องทำงานหนักแค่ไหน" แต่อาจเป็น "เราจะสร้างวัฒนธรรมที่ปลดล็อกศักยภาพของบุคลากรได้อย่างยั่งยืนได้อย่างไร" ต่างหาก
ที่มา : medium bbc businessinsider cnbc asia.nikkei bbc.