ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
เป็นภาพหนึ่งภาพเดียวที่ทำให้นับถือในการเสียสละครั้งนี้อย่างมาก เมื่อสมาชิกเฟซบุ๊ก Nid Thiraphon ได้แชร์ภาพทีมแพทย์และพยาบาลห้องผ่าตัดโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง กำลังทำพิธีขอขมาต่อร่างของหญิงสาวที่บริจาคไตและดวงตาให้กับสภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่น
โดย สมาชิกเฟซบุ๊ก Nid Thiraphon โพสต์ข้อความประกอบภาพดังกล่าวว่า... "แพทย์และพยาบาลห้องผ่าตัดโรงพยาบาลยโสธร ทำพิธี ขอขมากรรม ต่อผู้ป่วย น้องอุไรวรรณ ทองสุข ที่บริจาคไตและดวงตาให้กับสภากาชาดไทย #หนึ่งคนที่จากไป ช่วยให้อีกสี่ชีวิตอยู่รอด #น้องลาจากโลกนี้ไปด้วยความงดงาม #จากการบริจาคทานอันยิ่งใหญ่"
หลังจากสมาชิกเฟซบุ๊กนี้ได้โพสต์ภาพและข้อความดังกล่าว มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความชื่นชมและอนุโมทนาในการเสียสละร่างเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นของคนที่จากไปอย่างมากมาย
สำหรับการบริจาคร่างกายนี้นั้น เนื้อความตอนหนึ่งจากหนังสือ "การแพทย์ยุคใหม่ในพุทธทัศน์" โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงการบริจาคดังกล่าวนี้ว่า...
“ตามปกติ พุทธศาสนาไม่มีข้อห้ามเรื่องการบริจาคอวัยวะ มีแต่จะสนับสนุน เพราะการบริจาคอวัยวะเป็นการเสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ต้องการให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์และมีความสุข ...
การบริจาคนี้เป็นการให้ เรียกว่า “ทาน” คือการให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ซึ่งเรียกว่า “ทานบารมี” นั้น การบริจาคอวัยวะเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นถือเป็นความดีที่จำเป็นต้องทำเลยทีเดียว เพราะการก้าวไปสู่โพธิญาณต้องมีความเข้มแข็งของจิตใจในการเสียสละเพื่อความดี ...
ส่วนความเชื่อที่ว่า ‘ถ้าให้อวัยวะเขาไปแล้วในชาตินี้ เกิดมาชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบ’ นั้นไม่จริงเลย เพราะในหลักฐานทางคัมภีร์ได้แสดงว่า พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ก็ทรงบริจาคนัยน์ตา จึงเป็นเหตุให้พระองค์ทรงได้ ‘สมันตจักษุ’ คือเป็นพระเนตรหรือดวงตาที่เป็นพิเศษสุดของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราแปลว่าเป็นดวงตาที่มองเห็นโดยรอบ ไม่ใช่ดวงตาที่เป็นวัตถุอย่างเดียว แต่หมายถึงดวงตาทางปัญญาด้วย และในแง่คัมภีร์ก็สนับสนุนชัดเจนว่าชาติหน้ามีแต่ผลดี
(เป็นเพียงภาพประกอบข่าว)
ส่วนในแง่เหตุผล ที่เข้าใจกันว่าบริจาคอวัยวะไปแล้ว เกิดมาอวัยวะจะบกพร่อง เหตุผลที่ถูกต้องไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องมองว่าชีวิตที่เกิดมานี้ จิตใจเป็นส่วนสำคัญในการปรุงแต่งสร้างสรรค์ อย่างเราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเรามีเมตตา คิดดี ปรารถนาดีต่อผู้อื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส ต่อไปหน้าตาเราจะถูกปรุงแต่งให้แจ่มใสเบิกบาน ในทางกลับกัน ถ้าเราคิดร้ายต่อผู้อื่น มักโกรธ อยากจะทำร้ายรังแกเขาอยู่เรื่อย หน้าตาก็จะบึ้งตึง เครียด หรือถึงกับดูโหดเหี้ยม นี้เป็นผลมาจากสภาพจิตที่เคยชินในชีวิตประจำวัน แม้แต่ในชาติปัจจุบันนี้เอง
ทีนี้ ชีวิตที่จะเกิดต่อไปก็จะต้องอาศัยจิตที่มีความสามารถในการปรุงแต่ง ขอให้คิดง่าย ๆ ว่า คนที่จะบริจาคอวัยวะให้คนอื่นก็คือปรารถนาดีต่อเขา อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ หายเจ็บป่วย อยากให้เขาเป็นสุข จิตอย่างนี้ในตอนคิดก็เป็นจิตที่ดี คือจิตใจยินดีเบิกบาน คิดถึงความสุข ความดีงาม ความเจริญ จิตก็จะสะสมความโน้มเอียงและพัฒนาความสามารถในด้านนี้ ถ้าคิดบ่อย ๆ จิตก็จะยิ่งมีความสามารถและมีความโน้มเอียงไปในทางที่จะปรุงแต่งให้ดี และคุณสมบัตินี้ก็จะฝังอยู่เป็นสมรรถภาพของจิต
เพราะฉะนั้น ในการบริจาคเราจึงต้องทำจิตใจให้ผ่องใส ให้ประกอบด้วยคุณธรรม มีเมตตา ปรารถนาดี และอันนี้แหละที่จะทำให้เราได้บุญมาก
ตรงกันข้ามกับคนที่คิดร้ายอยู่เสมอ คิดแต่จะโกรธ คิดแต่จะรังแกสัตว์ อยากจะทำร้ายคนโน้นคนนี้ คนที่คิดทำร้ายเขานั้น จิตจะคิดจะนึกถึงการบุบสลาย ความเจ็บปวด อาการมีเลือดไหล สภาพแตกหัก แหว่งวิ่น บกพร่อง ขาดหาย และการสูญเสียที่ร้าย ๆ ไม่ดีทั้งนั้น และเมื่อคิดอยู่เสมอ จิตก็มีความโน้มเอียงที่จะคิดในแง่นี้ และก็จะพัฒนาความสามารถที่จะคิดไปในทางที่ไม่ดี ในการทำลาย ในการแตกสลาย คิดถึงชีวิต คิดถึงคนเมื่อไร ก็จะมองเห็นแต่รูปร่างไม่ดี บุบสลาย แขนขาด ขาขาด เจ็บปวดทรมาน นานเข้าบ่อยเข้า คนอย่างนี้ก็จะหมดความสามารถในการปรุงแต่งในทางที่ดี
คนที่ทำร้ายคนอื่น ชอบรังแกข่มเหงคนอื่น หรือคิดร้ายอยู่เสมอ เมื่อไปเกิดใหม่ก็จะมีปัญหาเรื่องความบกพร่องของอวัยวะ มักเจ็บป่วย ประสบอันตรายอะไรต่าง ๆ เพราะว่าจิตสะสมความโน้มเอียงและพัฒนาความสามารถในทางไม่ดีจนฝังลึก เรียกว่าลงร่องอย่างนั้น แล้วมันก็ปรุงแต่งชีวิตร่างกายของตัวให้เป็นไปในทางนั้น หรือได้อย่างนั้น แค่นั้น
(เป็นเพียงภาพประกอบข่าว)
ในทางตรงกันข้าม จิตที่พัฒนาความสามารถในทางที่ดี เช่น เมื่อบริจาคอวัยวะ เราคิดถึงคนอื่นในทางที่ดี มีกรุณาธรรม การที่เราบริจาคอวัยวะให้เขานั้นก็คือจะทำให้เขามีร่างกายหรืออวัยวะสมบูรณ์ขึ้น พ้นจากความบกพร่อง ให้เขาหน้าตาผ่องใส ให้เขามีชีวิตอยู่กับครอบครัวญาติมิตรของเขาอย่างมีความสุข ความคิดอย่างนี้ ยิ่งจิตเราคิดบ่อยก็ยิ่งดี เมื่อเราคิดหรือนึกถึงบ่อย ๆ จิตของเราก็จะมีความโน้มเอียง พร้อมทั้งพัฒนาความสามารถที่จะปรุงแต่งให้ดี
พอไปเกิดใหม่ จิตจะปรุงแต่งอะไรก่อนล่ะ ... จิตก็ต้องปรุงแต่งชีวิตของตัวเองนั่นแหละ เมื่อจิตสะสมมามีความโน้มเอียงและมีความสามารถในทางที่ดีอย่างนั้น มีแต่ภาพของร่างกายและอวัยวะที่สวยงามสมบูรณ์ซึ่งได้สะสมไว้ มันก็จะปรุงแต่งชีวิตร่างกายและรูปร่างหน้าตาให้ดี ให้งาม ให้สมบูรณ์
อันนี้ก็เป็นเหตุผลในเรื่องของกรรม คือหลักกรรมหรือกฎแห่งกรรมตามธรรมชาตินั่นเอง
ในเรื่องของกรรมนั้น “เจตนา” เป็นตัวการสำคัญในการปรุงแต่ง และจุดแรกเมื่อคนเกิดคือเริ่มชีวิตขึ้นก็เป็นธรรมดาว่าจะต้องปรุงแต่งชีวิตของตนนั้นเอง มันไม่ปรุงแต่งที่ไหนอื่น มันก็ใช้ความสามารถนั้นปรุงแต่งชีวิตของตนเองนั่นแหละก่อนอื่น มันมีความโน้มเอียงและความสามารถอย่างไรก็ปรุงแต่งอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นจึงแน่นอนว่าไม่มีปัญหาในเรื่องการบริจาคอวัยวะ ไม่มีปัญหาขัดข้องทางพระพุทธศาสนาและเหตุผลตามกฎธรรมชาติ แต่มีเหตุผลในทางสนับสนุน” (ที่มา : หนังสือ "การแพทย์ยุคใหม่ในพุทธทัศน์" โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต))
(เป็นเพียงภาพประกอบข่าว)
cr. FB Nid Thiraphon