เมื่อเอ่ยคำว่า "ลูกนักการเมือง" ทุกคนย่อมรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่า บุคคลนั้นมีพ่อหรือแม่ ที่ลงเล่นการเมืองเป็นอาชีพ และบ่อยครั้งที่บรรดาลูกๆ ก็อาจอาศัยบารมีการเป็นลูกนักการเมืองไปก่อเรื่องจนโดนจับ!!!!
ถ้าพูดถึงลูกนักการเมืองคนดังที่ มักก่อเรื่องราวจนถูกดำเนินคดีและกลายเป็นข่าวคราว ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์แบบ เมื่อเอยถึงก็มีแต่คนไม่อยากจะยุ่ง คงหนีไม่พ้น "ตระกูลอยู่บำรุง" และ "ตระกูลอัศวเหม" เป็นแน่ เพราะบารมีของผู้เป็นพ่อในสมัยที่ยังรุ่งโรจน์ทางการเมือง ก็เรียกว่าเป็นใครก็ไม่อยากจะเอาไม้ซีก ไปงัดไม้ซุงเป็นแน่
เริ่มที่คนแรก นายวันเฉลิม อยู่บำรุง หรือ นายวัน อยู่บำรุง ที่เมื่อเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อขึ้นหน้าหนึ่งได้ไม่เว้นวันเช่นกัน โดยคดีที่เป็นข่าวและน่าจะจดจำกันได้ ก็คือ คดีที่ นายวัน ก่อเหตุทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่นในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ขณะติดตามผู้เป็นพ่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ไปตรวจราชการ เมื่อปี 2540 โดยคู่กรณีของนายวัน ถูกยิง 2 คน และมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก จนเจ้าตัวตกเป็นผู้ต้องหา แต่คดีก็สิ้นสุดไปเมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้อง
ต่อมาปี 2541 นายวันเฉลิม ได้ก่อเหตุทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่นของ น.ส.กาญจนา นุ่มน้ำมูล แฟนสาวของลูกชายนายสิทธิพร ขำอาจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และนายวินัย หรือปาน แซ่ตั้ง หัวคะแนนนายสิทธิพร ที่ฟิวเจอร์ผับ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค โดยนายสิทธิพร ได้แจ้งความดำเนินคดี กับนายวันเฉลิม ข้อหาทำร้ายร่างกายและทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เนื่องจากไม่มีพยานยืนยันว่า นายวันเฉลิม ร่วมลงมือ อัยการก็เลยสั่งไม่ฟ้อง
และผ่านมาเพียง 4 เดือน นายวันเฉลิม ก็ก่อเหตุ ทำร้ายร่างกาย นายอัครเดช สุขรังสรรค์ บุตรชายนายประสาน สุขรังสรรค์ อดีตรองอธิบดีกรมการปกครองจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในงานเลี้ยงฉลองจบการศึกษา คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ “ทอรัสผับ” ซึ่งเจ้าตัวเดินทางเข้ามอบตัวที่ สน.ทองหล่อ และให้การปฎิเสธ ตลอดข้อกล่าวหา ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่าคดีนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หากมีหลักฐานจะฟ้องกลับนายตำรวจที่ทำคดีนี้ทันทีเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง
จากนั้นอีก 2 เดือนก็เป็นคิวของพี่ชายคนโต ของตระกูลอยู่บำรุง ร.ต.ต.อาจหาญ ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกาย น.ส.ปทิตตา พรรณโอรส นักศึกษามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ (เอแบค) อดีตแฟนสาว
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2542 ร.ต.ต.อาจหาญ และนายวันเฉลิม ก็ถูกดำเนินคดี ข้อหาใช้ใบเกณฑ์ทหาร หรือ สด.43 ปลอม สมัครเข้ารับราชการตำรวจ ซึ่งทั้งคู่ก็รีบประกาศ ขอลาออกจากราชการ แต่หลังจากนั้นอีกเพียง 2 วัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่อนุมัติให้ลาออก แต่มีคำสั่งให้ ร.ต.ต.อาจหาญ และ นายวันเฉลิม ออกจากราชการแทน พร้อมกันนั้นยังดำเนินคดีอาญา ฐานปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม
และในช่วง พฤษภาคม 2542 นายวันเฉลิม ก็ต้องตกเป็นผู้ต้องหาอีกครั้ง ฐานทำร้ายร่างกาย น.ส.สวิดา อึงศรีสวัสดิ์ อายุ 20 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบค) ในงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นที่โรงแรมรอยัลการ์เด้นท์ซีวิว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ท้องที่ สภ.บางละมุง
ถัดจากนั้นเพียงแค่ 1 เดือน นายวัน ก็ควงน้องชาย นายดวงเฉลิม อยู่บำรุง ไปทะเลาะวิวาทกันในผับ “เรดบาร์” ย่านอาร์ซีเอ เขตห้วยขวาง กทม. แต่คราวนี้กลับต้องฉาวโฉ่ขึ้นเป็นสองเท่า เพราะหนึ่งในคู่กรณีเป็น นักข่าวและช่างภาพไทยรัฐ ที่ไปทำข่าวเหตุทะเลาะวิวาทดังกล่าวแต่กลับถูก นายวัน กับน้องชายทำลายทรัพย์สิน ด้วยการยื้อแย่งเอากล้องและฟิล์มไป รวมทั้งแสดงอาการคุกคามด้วยการทุบรถนักข่าว เลยถูกกองบรรณาธิการไทยรัฐแจ้งความดำเนินคดี ขณะที่สมาคมนักข่าวฯออกแถลงการณ์ประณาม แต่ท้ายที่สุดเรื่องนี้จบลงที่ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องพาลูกชายไปขอขมาหย่าศึก
เรียกได้ว่าความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เพราะห่างจากเหตุดังกล่าวเพียง 15 วัน น้องชายคนเล็ก นายดวงเฉลิม ก็ยกพวกไปก่อเหตุทะเลาะวิวาท กับกลุ่มนักเที่ยว หน้า “สปาร์คผับ” ชั้นใต้ดิน โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาฯ มีการยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด แต่ไม่มีพยานคนใดกล้ายืนยันหรือมาให้ปากคำซัดทอดถึง นายดวงเฉลิมเลยรอดตัวไป
แต่ก็เรียกว่าไม่เข็ด เพราะห่างจากนั้นอีกเพียง 2 เดือน นายดวงเฉลิม ก็ก่อเรื่องอีกครั้ง ด้วยการ ไปก่อเหตุอาละวาดหน้าบ้าน น.ส.ภัทรวลัย อนันตศิริภัทร อดีตเพื่อนสาวคนสนิท จนทำให้แม่ฝ่ายหญิง ตกใจ ต้องแจ้งตำรวจ เพราะหวาดกลัว นายดวงเฉลิมจะทำอะไรมากกว่านั้น งานนี้ก็ไม่พ้นมือคนเป็นพ่อต้องยกหูโทรศัพท์เคลียร์ ของไม่ให้เอาเรื่อง
หลังห่างหายไปนานในปี 2543 นายวันเฉลิม ก็ไปก่อเหตุอีก รุมทำร้าย นายเสริมชัย วัฒนเสนีย์ธรรม ลูกชายเจ้าของโรงแรมเรสซิเดนท์ เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ภายในสถานบันเทิง ย่านเพชรบุรีตัดใหม่ เนื่องมากจากเขม่นกันเรื่องสาว และจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ ผู้เป็นพ่อมีคำสั่งเด็ดขาด ห้ามลูกชาย ไปเที่ยวผับและมีเรื่องอีกเพราะทั้งคู่เตรียมจะลงสมัคร ส.ส. ซึ่งบทสรุปของคดีดนี้ ศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2544 เนื่องจากหลักฐานฝ่ายโจทก์อ่อน
เมื่อพี่ชาย 2 คนถูกสั่งห้ามเที่ยวสถานบันเทิง แต่คนน้องไม่ได้โดนด้วยก็ทำให้ในวันที่ 12 ตุลาคม 2543 นายดวงเฉลิม ก็ก่อเหตุทะเลาวิวาท กับ นักศึกษาเอแบค ในสถานบันเทิงย่านทองหล่อ แต่งานนี้ ใช่ว่าลูกชายจะโดนคดีไปคนเดียว คนเป็นพ่อ อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ก็โดนด้วย เพราะดันไปยืนด่ากราดตำรวจที่เข้าปฏิบัติหน้าที่และนักข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ จึงตกเป็นผู้ต้องหา ฐาน หมิ่นประมาทตำรวจ และเป็นจำเลยสังคมฐานเกรี้ยวกราด หยาบคายเกินเหตุ
และหลังจากคดีนี้ คนในตระกูลอยู่บำรุง ก็ห่างหายจากหน้าสื่อเกี่ยวกับคดีไปนานเกือบปี กระทั่งวันที่ 29 ตุลาคม 2544 นายวันเฉลิม และนายดวงเฉลิม ก็ต้องเข้าไปผัวผันกับคดียิง ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ หรือดาบยิ้ม ตำรวจกองปราบปราม ตายใน “ทเวนตี้ผับ” โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถ.รัชดาภิเษก และถูกออกหมายจับในวันเดียวกัน ซึ่งคดีนี้บุตรชายทั้ง 2 ของ ร.ต.อ.เฉลิม ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้ยิง ดาบยิ้ม แต่คนที่ลงมือคือ ไอ้ปี๊ด โดยท้ายที่สุดด้วยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า ผู้ที่ลงมือลั่นไกคือ นายดวงเฉลิม จริงหรือไม่ ศาลยกจึงพิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิด แต่ในส่วนข้อหาทะเลาะวิวาทนั้น ศาลสั่งจำคุกนายวันเฉลิม 1 เดือน ปรับ 1,000 บาท ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และสั่งห้ามเที่ยวสถานบันเทิง 1 ปี
และหลังจากคดีนี้ คนในตระกูลอยู่บำรุง ก็แทบจะมีข่าวทะเลาะวิวาทอีกเลย
เมื่อพูดถึง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองปากน้ำ คงหนีไม่พ้น "ตระกูลอัศวเหม" ซึ่งความยิ่งใหญ่รุ่งเรืองนี้ก็มาจาก นายวัฒนา อัศวเหม ที่ลงเล่นการเมืองจนได้แต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทย แม้จะต้องเผชิญวิบากกรรมเกี่ยวกับ คดีบ่อบำบัดน้ำเสียแต่ก็ไม่ได้ทำให้บารมีของคนในตระกูลนี้ลดน้อยลง จึงส่งผลให้ 3 พี่น้องตระกูลอัศวเหม มีคดีอาญาติดตัวไม่แพ้ 3 พี่น้องตระกูลอยู่บำรุงเลย
โดยลูกชายคนโต อย่าง นายพิบูลย์ อัศวเหม กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็มพี ปิโตรเลียม แม้ไม่ได้เข้ามาสู่แวดวงการเมือง แต่ก็ถูกดำเนินคดีอาญาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2547 ในคดีร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมของบริษัทจันทร์กรุ๊ป กู้เงินแบงก์ 7 พันล้าน และถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการออกโฉนดรุกทะเลแหลมบาลีฮาย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เอื้อประโยชน์ให้บริษัทอาชาแลนด์
ตามมาด้วย "นายพูนผล อัศวเหม" เจ้าของคำพูดสุดฮิต "กู ลูกวัฒนา" หลังมีเรื่องขับรถปาดกับสองพ่อลูกที่บริเวณแยกพัฒนาการ แล้วชักปืนออกมาตบคู่กรณีจนปืนลั่น เมื่อปี 2539 ถูกดำเนินคดี จากนั้นอีก 2 ปี นายพูลผล ที่เข้าสู่วงการการเมือง ได้เป็นส.ส.สมุทรปราการ แต่ก็ต้องถูกดำเนินคดี ขับรถไล่ชนตำรวจจราจรได้รับบาดเจ็บ เพราะไม่พอใจที่จับกุมนักศึกษาสาวคนสนิท ข้อหาไม่มีใบขับขี่ ซึ่งคดีนี้ศาลตัดสิน จำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท และศาลอุทธรณ์ลดโทษให้เหลือ 8 เดือน 20 วัน
และลูกชายคนสุดท้องอย่าง นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม คนนี้ก็มีเรื่องกับตำรวจจนถูกดำเนินคดี จากการขัดขืนเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่แพ้พี่เลยก็ว่าได้ โดยเริ่มจากกรณีก่อเหตุ ทะเลาวิวาทกับเพื่อนบ้าน เมื่อตำรวจเข้าไประงับเหตุ กลับถูกลูกน้องนายชนม์สวัสดิ์ ใช้ปืนจ่อศีรษะ ทำร้ายร่างกาย กระชากเสื้อจนกระดุมขาด ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้ดำเนินคดี นายชนม์สวัสดิ์ ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และทำให้เสียทรัพย์
ส่วนอีก 1 คดีที่เป็นที่โด่งดังไม่แพ้กัน ก็คดีคือ ที่นายชนม์สวัสดิ์ ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับตำรวจ สน.มักกะสัน เนี่องด้วยไม่ยอมให้มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ ซึ่งคดีนี้ตำรวจได้แจ้งความดำเนินคดี กับนายชนม์สวัสดิ์ 3 ข้อหา ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตำรวจ , ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และขัดขวางการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ขณะขอตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในร่างกาย โดยคดีนี้ศาลพิพากษา จำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี....
ส่วนคดีล่าสุดที่ลูกนักการเมืองดังถูกจับดำเนินคดี ก็หนีไม่พ้น นายพันธิตร มหาเปารยะ อายุ 27 ปี หรือ ติ๊งค์ ลูกเลี้ยงของ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีคลัง ที่ถูกจับ หลังครอบครองโคเคนเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจได้นำตัวฝากขังต่อศาล และศาลได้อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 10,000 บาท