พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะกรรมการน้ำแห่งชาติ เพื่อติดตามงานปี 2562 และปรับแผนการบริหารจัดการน้ำในปี 2563 ย้ำ ต้องไม่มีพื้นที่ประสบภัยแล้งซ้ำซากอีกต่อไป
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อ 0900 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม. ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนำ้แห่งชาติ ครั้งที่ 2/62 ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อติดตามงานปี 62 และปรับแผนบริหารจัดการน้ำ ปี 63
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าโครงการสำคัญปี 62 ที่รัฐบาลทุ่มงบกลางกว่า 19,000 ล้านบาท ลงแก้ปัญหาฉุกเฉินในการเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำและเพิ่มต้นทุนน้ำ จำนวน 144 โครงการ โครงการก่อสร้างฝายชะลอน้ำ 30,000 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งงบประมาณที่กระจายให้ทุกจังหวัดแก้ไขและบรรเทาปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย และรับทราบรายงานความก้าวหน้าของโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง 9 แผนงาน การขอใช้พื้นที่ป่าสำหรับพัฒนาแหล่งน้ำ 85 โครงการ พร้อมทั้งเห็นชอบโครงการก่อสร้างอุโมงระบายน้ำจากคลองภาษีเจริญถึงคลองสนามชัย และโครงการแก้ปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง พร้อมกันนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาแผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปี 63 ประกอบด้วย 28 หน่วยงาน จำนวน 57,975 โครงการ วงเงินกว่า 3.1 แสนล้านบาท ที่กระจาย ลงทุกภาคทั่วประเทศ และเห็นชอบกรอบโครงสร้างการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจและกองอำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ ( War Room ) ที่มี สทนช. รับผิดชอบ
พล.อ.ประวิตร’ กำชับขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง น้อมนำพระราโชบาย ร.10 ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด มาดำเนินงานโดยเฉพาะ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ( สทนช.) เป็นหลัก เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ร่วมกันบริหารจัดการนำ้เชิงรุก ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งไปพร้อมกัน โดยต้องเก็บสถิติและพยายามบริหารจัดการลดความเสียหายจากน้ำท่วมเป็นพื้นที่ให้มากที่สุด ทั้งการบริหารจัดการลุ่มน้ำหลัก ควบคู่กับเร่งจัดทำแหล่งเก็บน้ำอุปโภคบริโภคผิวดินในแต่ละชุมชน โดยเร่งจัดทำแก้มลิง ฝายชะลอน้ำในลำน้ำต่างๆ และการผันน้ำเข้าอ่างเก็บนำ้ขนาดใหญ่ให้มากที่สุดในทุกโอกาส โดยต้องหยุดปัญหาพื้นที่แล้งซ้ำซากให้ได้โดยด่วน พร้อมกันนี้ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบสถานการณ์นำ้และมีส่วนร่วมบริหารจัดการไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่อาจมีประชาชนได้รับผลกระทบ
ขณะเดียวกัน ให้เร่งดำเนินการตามกรอบแผนงานที่กำหนด โดยต้องพยายายามขับเคลื่อนดำเนินงานให้ ครอบคลุมทั้ง 6 ด้าน คือ การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต การจัดการ น้ำท่วมและอุทกภัย การจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นนำ้ที่เสื่อมโทรมและป้องกันการทลายของดิน รวมทั้งการบริหารจัดการ และย้ำว่ารัฐบาลได้ทุ่มงบประมาณ กระจายแก้ปัญหาน้ำลงทุกพื้นที่และจะติดตามขับเคลื่อนอย่างใกล้ชิด โดยต้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรมกับประชาชนในพื้นที่ปี 63