svasdssvasds

นอยเออร์ ใส่ปลอกแขนสีรุ้ง สนับสนุน LGBTQ ในยูโร 2020 ชูความเท่าเทียมทุกเพศ

นอยเออร์ ใส่ปลอกแขนสีรุ้ง สนับสนุน LGBTQ  ในยูโร 2020 ชูความเท่าเทียมทุกเพศ

ปลอกแขนสีรุ้ง "นอยเออร์" เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง นอกเหนือจากการแข่งขันยูโร 2020 เพราะเรื่องนี้ สะท้อนให้ทุกคนเห็นถึง ความเท่าเทียมกัน ความหลากหลายทางเพศ การมีตัวตนของกลุ่มคน LGBTQ และเกมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 เป็นของทุกเพศ ไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม

ปลอกแขนสีรุ้ง     
ฟุตบอลยูโร 2020 นัดชี้ชะตา กลุ่มเอฟ ระหว่างเยอรมนี กับ ฮังการี ถือเป็นไฮไลท์สำคัญเพราะนอกจากเกมการแข่งขันที่แย่งกันเข้ารอบน็อกเอาท์แล้ว ยังมีประเด็นที่ถูกพูดถึงในวงกว้างนั่นคือ ปลอกแขนสีรุ้ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ปลอกแขนกัปตันทีมชาติเยอรมนีของมานูเอล นอยเออร์ ซึ่งที่ผ่านมา 2 นัด มานูเอล นอยเออร์ เลือกใส่ปลอกแขนสีรุ้งทั้ง 2 นัด ทั้งนัดแพ้ฝรั่งเศส และชนะโปรตุเกส รวมถึงนัดชี้ชะตากับฮังการี มานูเอล นอยเออร์ ก็จะยืนยันการกระทำเดิมต่อไป เขาจะเป็นผู้นำอินทรีเหล็กบนพื้นสนามหญ้าพร้อมกับปลอกแขนสีรุ้ง

สำหรับสิ่งที่ มานูเอล นอยเออร์ ทำนั้น เพื่อเป็นตัวแทนส่งสาส์นบอกกับคนทั้งโลก ว่า เกมฟุตบอลเป็นของทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือ LGBTQ 

การแสดงออกของ มานูเอล นอยเออร์ ถือเป็นประเด็นที่พูดถึงในวงกว้าง เพราะก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า ซึ่งเป็นผู้จัดยูโร 2020 มีความคิดจะสอบสวน "ความผิด" ในการแสดงออกทางสัญลักษณ์ครั้งนี้ 

อย่างไรก็ตาม ยูฟ่า ได้เปลี่ยนท่าทีจากเดิม  เปลี่ยนเป็น มาเป็นการสนับสนุน "ปลอกแขนสีรุ้ง" ของมานูเอล นอยเออร์แทนแล้ว เพราะนี่คือสิ่งที่ดีและบ่งบอกว่าเกมฟุตบอลเป็นของทุกคน และฟุตบอลยูโร 2020 เป็นพื้นที่ที่จะพูดว่าทุกคนเท่าเทียมกันได้ 

 "ยูฟ่าตรวจสอบปลอกแขนกัปตันทีมของมานูเอล นอยเออร์แล้ว และได้พิจารณาแล้วว่าเป็นการกระทำเพื่อสิ่งที่ดี ลดการแบ่งแยกในสังคม จึงจะไม่มีการดำเนินการทางวินัยแต่อย่างใด"

์nuer

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ห้ามมิวนิกเปิดไฟสีรุ้ง :แต่เมืองอื่นจัดเต็ม!    

ขณะที่  ดีเตอร์ ไรเตอร์ นายกเทศมนตรีเมืองมิวนิก ซึ่งเป็นในเมืองเจ้าภาพยูโร 2020 โดยมีสนาม อัลลิอันซ์ อารีน่า เป็นที่ตั้งนั้น ก็ได้เสนอแนวคิดที่จะเปิดไฟรอบสนามเป็นสีรุ้งด้วย เพื่อเป็นการสนับสนุนแนวความคิดของความเท่าเทียม และการมองเห็นคุณค่าของกลุ่ม LGBTQ  และเป็นการหนุนหลัง มานูเอล นอยเออร์ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เมืองมิวนิกตั้งใจจะทำนั้นต้องถูก "เบรกไว้" จากยูฟ่า ฝ่ายจัดยูโร 2020 
... เพราะ ยูฟ่า  ไม่อนุญาตให้สาดแสงสีรุ้ง ด้านนอกสนามอัลลิอันซ์ อารีน่า ในเกมยูโร 2020 คู่ระหว่างเยอรมนีกับฮังการี เพราะ ยูฟ่า มองว่า การเปิดไฟสีรุ้ง มีเหตุผลเกี่ยวกับการเมือง เนื่องจากพุ่งเป้าไปที่การลงมติของรัฐสภาฮังการี ซึ่งเป็นคู่แข่งของเยอรมนีในเกมนี้  ซึ่งล่าสุด สภาฮังการีผ่านกฎหมายที่ดูจะเป็นเชิงอนุรักษ์นิยม เพราะห้ามเผยแพร่แชร์เนื้อหาหรือภาพเพศทางเลือก LGBTQ แก่เยาวชน จนถูกวิจารณ์จากนักสิทธิมนุษยชน ว่าเป็นกฎหมายต่อต้าน LGBT และไม่ปลูกฝังความหลากหลายของมนุษย์ 

ขณะที่ยูฟ่า เป็นองค์กรที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และต้องวางตัวเป็นกลางในประเด็นความขัดแย้งต่างๆ จึงไม่อนุญาตให้สนามอัลลิอันซ์ อารีน่าในมิวนิก เปิดไฟสีรุ้ง ในค่ำคืนนี้ 

berlin

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ อัลลิอันซ์ อารีน่า ที่เมืองมิวนิก จะถูกห้ามเปิดไฟสีรุ้ง ซึ่งที่จริงแล้ว เป็นแค่อีกนัยหนึ่งของการฉลองเดือน Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ LGBTQ ที่ทางเยอรมนีต้องการแสดงออก , แต่สนามอื่นๆในเยอรมนี ก็ได้ จัดการ "แก้เกม" การถูกห้ามเปิดไฟสีรุ้งครั้งนี้  โดยทางสนามต่างๆ ที่ไม่ใช่อัลลิอันซ์ อารีน่า ร่วมใจพร้อมใจกันสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ด้วยการเปิดไฟสีรุ้งทั้งหมด อาทิ ที่เบอร์ลิน , ที่โคโลญจน์ , ที่เกลเชนเคียร์เช่น  ที่โวล์ฟสบวร์  ,ที่แฟรงค์เฟิร์ต  หรือที่ เอาก์สบวร์ก และทางด้าน DW สื่อเยอรมนี ก็รายงานว่านายกฯ เมืองมิวนิกมีแผนที่จะเปิดไฟที่กังหันลมใกล้ๆกับสนามเป็นสีรุ้งแทนด้วย เพื่อเป็นการแสดงออกครั้งนี้

staduim1

staduim2

staduim3
    

กาลเวลาจะเป็นคำตอบสิ่งที่ถูกต้อง

ข้อสังเกตที่น่าสนใจสำหรับเรื่องราวทั้งหมดของ ปลอกแขนสีรุ้งของมานูเอล นอยเออร์   คือแม้ ณ เข็มนาฬิกาเดินอยู่ตอนนี้  กลุ่ม LGBTQ จะถูกยอมรับมากขึ้น เรื่องรสนิยมเรื่องเพศที่หลากหลาย เป็นเรื่องส่วนบุคคล ...แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับทุกอย่างเสมอไป จะเห็นได้ว่าขณะที่คนเยอรมัน ยอมรับ LGBTQ มากขึ้นแล้ว รวมถึงประเทศอื่นๆ แต่คนฮังการีก็ยังต่อต้านเล็กๆ อยู่เลย มันแปลว่า มันไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับได้หมดในทันทีทันใด
 

เพราะการจะเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมายาคติเดิมๆของคนที่ฝังแน่นอยู่ในใจได้นั้น ต้องใช้เวลา... 

และ แต่ถ้าสิ่งใดที่ "ถูกต้องแล้ว" หากมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ "เวลา" จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านั้น ให้ถูกยอมรับในท้ายที่สุดเอง...ไม่ต่างอะไรกับเรื่อง LGBTQ , เรื่อง Pride Month และความเป็นคนของทุกคน ย่อมเท่ากัน...

related