svasdssvasds

นักโบราณคดีค้นพบเรือแคนูเก่าแก่อายุกว่า 1,000 ปีของชาวมายันในเม็กซิโก

นักโบราณคดีค้นพบเรือแคนูเก่าแก่อายุกว่า 1,000 ปีของชาวมายันในเม็กซิโก

อารยธรรมชาวมายาเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของทวีปอเมริกากลางและใต้ ที่มีวัฒนธรรมของอาณาจักรอันรุ่งโรจน์ในอดีตกาล แต่ทว่าก็ได้ล่มสลายไป มาวันนี้นักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐานชิ้นใหม่ คือเรือแคนูโบราณของชาวมายัน ที่มีสภาพเกือบสมบูรณ์ ระหว่างการสำรวจเส้นทางรถไฟ

นักโบราณคดีขุดค้นพบเรือแคนูเก่าแก่ของชาวมายันทางตอนใต้ของเม็กซิโก ซึ่งคาดการณ์มีอายุมากกว่า 1,000 ปี โดยเรือดังกล่าวมีขนาดมากกว่า 5 ฟุต (1.6 เมตร) สภาพเกือบสมบูรณ์ จมอยู่ใต้แอ่งน้ำจืดใกล้กับเมืองชิเชน อิทซา (Chichen Itza) ที่ถูกทำลายโดยชาวมายันเมื่อหลายร้อยปีก่อน

ภาพซากเรือจากใต้น้ำในถ้ำซิโนเต cr.Rueters

สถาบันผู้วิจัยด้านโบราณวัตถุของเม็กซิโก (Inah) กล่าวว่า เรือลำนี้อาจนำไปใช้เพื่อสกัดกั้นทางไหลของน้ำหรือเพื่อพิธีกรรมบางอย่าง ซึ่งการค้นพบนี้เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟสำหรับนักท่องเที่ยวเส้นใหม่หรือที่เรียกว่ารถไฟมายา นอกจากนี้นักโบราณคดียังได้พบเศษซากเซรามิก มีดสำหรับทำพิธกรรมและภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดลวดลายด้วยมือบนหินในหลุมถ้ำธรรมชาติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Cenote “ซีโนเทย์หรือซีโนเต้” ที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันโด่งดันแห่งหนึ่งของเม็กซิโกในปัจจุบัน

แหล่งน้ำมต้ดินหรือซิโนเต (Cenote) cr.สำรวจโลก

ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยซอร์บอร์นในปารีสได้ให้ความช่วยเหลือในการระบุอายุและประเภทของเรือแคนู นอกจากนี้ยังทำแบบจำลอง 3 มิติเพื่อให้ได้เห็นรูปร่างของเรือลำนี้อย่างชัดๆและเพื่อทำการศึกษาอย่างละเอียดต่อไป

อารยธรรมมายาเจริญรุ่งเรืองก่อนที่จะถูกสเปนพิชิตดินแดนในช่วงที่มายันได้ปกครองอาณาเขตอันกว้างใหญ่ทางตอนใต้ของเม็กซิโก กัวเตมาลา เบลิซ และฮอนดูรัส หรือช่วงประมาณปี ค.ศ.1697

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เรือลำนี้มีกำหนดอายุคร่าวๆระหว่างปี ค.ศ.830-950 จนถึงปลายยุคทองของอารยธรรมมายา ในช่วงเวลานี้ อารยธรรมมายาเผชิญกับการล่มสลายทางการเมืองครั้งใหญ่ โดยมีการละทิ้งเมืองต่างๆที่กระจายอยู่ทั่วอเมริกากลางไป ทฤษฎีนี้เป็นเพียงทฤษฎีหนึ่งของการคาดการณ์การล่มสลายของอาณาจักร แต่ทฤษฎีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เพราะเชื่อว่าการแตกแยกของชาวมายันมาจาก สงครามภายใน ความแห้งแล้ง และจำนวนประชากรที่มีมากเกินไป

โครงการสร้างขบวนรถไฟที่เรียกว่า Maya Train รถไฟมายา เป็นโครงการที่มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ นำโดยรัฐบาลฝ่ายซ้ายของประธานาธิบดี Andrés Manuel López Obrador ซึ่งตั้งเป้าว่ารถไฟจะแล่นผ่าน 5 รัฐทางตอนใต้ของเม็กซิโก พร้อมกับวิวทิวทัศน์อันงดงามของอารยธรรมและธรรมชาติ

ผู้สนับสนุนกล่าวว่า เครือข่ายของรถไฟจะช่วยบรรเทาความยากจนในภูมิภาค แต่ก็มีนักวิจารณ์โต้แย้งว่าการสร้างเส้นทางรถไฟนี้จะทำลายระบบนิเวศน์ในท้องถิ่นและสภานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ถูกค้นพบและกำลังดำเนินการค้นหาอย่างต่อเนื่องอยู่ตอนนี้

ในสมัยก่อน อารยธรรมของชาวมายาเติบโตเป็นอย่างมาก แต่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ

ประวัติของอาณาจักรมายาและชาวมายันฉบับย่อ

เมื่อประมาณ 4000 ปีที่แล้ว ในดินแดนที่เต็มไปด้วยป่าฝนอันชุ่มชื่นของทวีปอเมริกากลาง มีอารยธรรมหนึ่งชื่อว่า “มายา”(Maya) เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองและร่ำรวยไปด้วยทรัพยกรธรรมชาติ ซึ่งดินแดนนี้ได้ขยายอาณาเขตซึ่งกินพื้นที่ของประเทศในทวีปอเมริกากลาง 5 ประเทศในปัจจุบันด้วยกันคือ เม็กซิโก กัวเตมาลา เบลิซ ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์ วัฒนธรรมของชาวมายานั้นน่าทึ่งในหลายๆด้าน พวกเขามีองค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิศวกรรม นอกจากนี้พวกเขายังเป็นคนริเริ่มเลข 0 อีกด้วย

โบราณสถานที่โดดเด่นคือวิหารขั้นบันไดที่มีเกือบทุกนครรัฐ และนำสถานที่เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในทางที่หลากหลาย เช่น เป็นสนามกีฬา สุสาน วิหาร สถานที่บูชายัญเทพเจ้า เป็นต้น

สถาปัตยกรรมโบราณนี้คือวิหารที่ชาวมายันภูมิใจและใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย

ในช่วงที่การเชื่อมต่อระหว่างยุคมีการค้นพบว่า ชาวมายาได้ละถิ่นฐานกันออกไป จึงทำให้นักโบราณคดีสงสัยและอยากคำตอบว่าเพราะเหตุใดชาวมายาถึงละทิ้งถิ่นฐานแม้ว่าจะมีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์และความรุ่งเรืองของอาณาจักร มีการคาดเดากันไปต่างๆนาๆหลายทฤษฎี เพราะสงคราม สภาพอากาศ ความแห้งแล้ง ความอดอยาก หรือเพราะเหตุผลใดกันแน่?

แต่จากการศึกษา สำรวจ ก็ทำให้ค้นพบว่าแท้จริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้ชาวมายาทิ้งถิ่นฐานนี้ไปเกิดมาจาก "ชาวมายา" เองที่ทำลายสิ่งแวดล้อมจนอยู่อาศัยไม่ได้

ในยุครุ่งเรืองนั้น ประชากรของชาวมายามีปริมาณที่เยอะมากๆ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรอันแสนเหลือเฟือ ณ ตอนนั้นแต่อย่างใด แต่เพราะการสร้างวิหารนี่แหละที่นำปัญหามาให้ การสร้างวิหารของชาวมายาแตกต่างจากพีระมิดของชาวไอยคุปต์ พวกเขาฉาบปูนด้านนอกก่อนและทาสีแดงทับลงไป แต่ปัญหาอยู่ที่ปูนขาวที่พวกเขานำมาใช้ การผลิตปูนขาวพวกเขาต้องใช้หินปูนจำนวนมาก จากการเผาต้นไม้ หรือก็คือ “ฟืน” ที่มาจากป่าอันสมบูรณ์ของพวกเขานี่แหละ

แม้ว่าจะมีผืนป่าที่เยอะเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานการร่อยหรอของระบบนิเวศน์และทรัพยากรได้ การโค่นล้มไม้ใหญ่ก่อให้เกิดน้ำป่าไหลหลากในช่วงฤดูฝน รวมไปถึงมีผลต่อการทำเกษตรกรรม เพราะหน้าแล้งต้นไม้ดูดซับน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ดินขาดน้ำ ขาดปุ๋ย พืชหลักของชาวมายันคือข้าวโพดจึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เต็มที่ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็คือภัยจากมนุษย์เองทั้งสิ้น จึงเป็นสาเหตุให้ชาวมายันแยกย้ายกันออกไปเพื่อไปหาถิ่นฐานที่มีทรัพยากรที่สมบูรณ์กว่านั่นเอง ข้อมูลนี้มาจากหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ชาวมายันยุคคลาสสิกได้ทิ้งเอาไว้ นั่นก็คือ ศิลาจารึกจากเมือง โทนีนา (Tonina) ลงวันที่ 15 มกราคม ค.ศ.909

ที่มาข้อมูล BBC REUTERS และ GYPZY WORLD

related