svasdssvasds

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์งานเข้า เฟซบุ๊กจะปรับหน้าฟีดให้เห็นเพื่อนน้อยลง

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์งานเข้า เฟซบุ๊กจะปรับหน้าฟีดให้เห็นเพื่อนน้อยลง

เชื่อว่าคนทำเพจหรือพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ทุกคนมักใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางในการขายสินค้าหรือโปรโมทแบรนด์ แต่ขณะนี้เฟซบุ๊กกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่จะทำให้หน้าฟีดเห็นเพจหรือตัวตนคุณน้อยลง

โดยเฟซบุ๊กจะปรับหน้าฟีดให้มองเห็นโซเชียลต่างๆของเพื่อนในเฟซบุ๊กน้อยลง และลดบทบาทของเพจที่เราติดตาม ซึ่งจะทำให้เราไม่ค่อยเห็นโพสต์ของเพื่อน และเพจที่เรากดไลค์ไว้

แต่จะไปเน้นที่ระบบ AI ที่เฟซบุ๊กจะนำเข้ามาใหม่ ชื่อว่า “Discovery Engine” ซึ่งเฟซบุ๊กได้ลงทุนไปกว่าแสนล้านบาท
 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดจาก Meta ได้รับผลกระทบต่างๆที่ทำให้ Meta รายได้ตกต่ำและเติบโตต่ำสุดในประวัติการณ์ ผู้ก่อตั้ง Meta หรืออดีตชื่อเดิมเฟซบุ๊ก จึงได้โพสต์สเตตัสเกี่ยวกับแนวทางของ Meta ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง ยาวกว่า 3 หน้า ประเด็นสรุปสั้นๆมีดังนี้

แพลตฟอร์มใหม่อย่าง Reels ที่เป็นวีดีโอสั้นๆ ที่เข้ามาใหม่ใน Facebook , Instagram ยังไม่สามารถสร้างรายได้

การปรับนโยบายความเป็นส่วนตัวของ iOS เข้ามาทำให้ Facebook ไม่สามารถติดตามหรือ Track พฤติกรรมได้อีกต่อไป

ความท้าทายอื่นๆเช่น การชะลอตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ชที่เติบโตในช่วงโควิด 19 แต่ปัจจุบันกลับมาปกติแล้ว หรือสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ต้องบล็อกเฟซบุ๊กรัฐบาลรัสเซีย

เนื่องจากเฟซบุ๊กได้เติบโตขึ้นมาก จึงได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงธุรกิจใหม่ Reality Labs ที่เกี่ยวกับ Metaverse แต่เนื่องจากผลกระทบเหล่านี้ เฟซบุ๊กก็เลยจะชะลอการลงทุนในบางโครงการ
 

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กยังได้แชร์เรื่อง Meta โดยแบ่งเป็น 2 ธุรกิจใหญ่ๆ คือ
Family of Apps เช่น เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม และอีกส่วนก็คือ Reality Labs หรือกลุ่มแว่น VR

โดยในฝั่งของ Facebook,Instagram (Family of Apps) เขามองว่ายังสามารถสร้างรายได้ได้ดี และยังมีการเติบโตจากโฆษณา และทำกำไรได้สูง

ในขณะที่ฝั่ง VR (Reality Labs) ลงทุนไปสูงมหาศาล แต่ยังไม่มีผลกำไรหรือรายได้กลับมา แต่เขาก็เชื่อว่านี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของบริษัท และเขายังเชื่อในระบบนี้

โดยในทีแรกเขาวางแผนว่าจะนำกำไรจากฝั่ง Family of Apps หรือ Facebook, Instagram นำมาสนับสนุนในฝั่งของ VR (Reality Labs) แต่เนื่องจากกำไรชะลอตัวลง จึงทำให้ไม่สามารถทำได้

เราจึงจะเลือกลงทุนแบ่งออกเป็นสามเรื่อง 
1.Reels 
2.โฆษณา 
3.Metaverse
 

ซึ่งเขามองว่า Reels เป็นอะไรที่เขาสามารถพัฒนาได้ และเขาได้มองเห็นตัวอย่างของ TikTok ที่ทำให้คนฮิตในโซเชียลมีเดีย ด้วยสองข้อนี้

- ความฮิตของวิดีโอสั้น เช่น ความกระชับของคอนเทนท์ต่างๆใน TikTok สั้น เข้าใจง่าย และดูเพลิน
- ความก้าวหน้าของระบบการแนะนำคอนเทนต์ด้วย AI ตัวอย่างการแนะนำคอนเทนท์ต่างๆที่คุณชอบ เช่น ชอบดูการแต่งหน้า บล็อคเกอร์สอนแต่งหน้าก็จะขึ้นมาแนะนำให้คุณดูเพิ่มอีก

และเขายังแชร์ให้เห็นความสำคัญของวีดีโอสั้นดังนี้
ปัจจุบัน ผู้ใช้งานอินสตาแกรม ใช้เวลาไปกับฟีเชอร์ Reels 20%
และผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ใช้เวลาไปกับคอนเทนต์วิดีโอ 50%

เขาจึงต้องการปรับกลยุทธ์ในการมองเห็นใหม่บน Meta (Facebook) จากเดิมที่เราจะเห็นคอนเทนต์ที่เพื่อนโพสต์ภาพ หรือสเตตัสที่เพื่อนแชร์ หรือเพจที่เราติดตาม จะกลายเป็นการแนะนำจาก AI มากขึ้น แม้ว่ามันจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเพื่อน หรือผู้ที่เราติดตามเลยก็ตาม 

นั่นก็คือ “Discovery Engine” ที่กำลังจะเข้ามาเฟซบุ๊ก จะช่วยให้เราเห็นคอนเทนท์ที่เราพลาดหรือไม่เคยได้เห็น ไม่ว่าจะเป็น บทความ วีดีโอ กรุ๊ป หรือในฝั่ง Instagram ก็จะเป็นภาพหรือวีดีโอ นั่นเอง ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นคอนเทนท์ที่หลากหลายมากขึ้น

ซึ่งเราต้องมาคิดกันว่า หรือ AI เหล่านี้จะทำให้เราเห็นโฆษณามากขึ้นหรือเปล่า?

ต่อมามาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้พูดถึงการลงทุนของบริษัทในเรื่องของ “โฆษณา” ที่ก่อนหน้านี้เขาพูดถึงว่า Reels หรือ วีดีโอสั้นยังไม่สามารถสร้างรายได้ให้บริษัทได้ แต่เขายังคงมีความหวังว่ามันคืออนาคต โดยได้เปรียบเทียบเรื่องในอดีต ว่าสมัยก่อนเรายังไม่สามารถใช้ฟีดเพื่อสร้างรายได้ แต่ปัจจุบันฟีดได้มีโฆษณาเข้ามาเกี่ยวข้องและสร้างรายได้ได้ดีมาก และเขายังคงมุ่งมั่นพัฒนา Reels หรือ Stories ต่อไป

เรื่องสุดท้ายที่เป็นประเด็นกระแสจนทำให้พนักงานหลายคนเบื่อหน่าย ก็คือ “Metaverse” ที่มีข่าวมาว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หมกมุ่นกับเรื่องนี้มากจนเกินไป เขาจึงได้ออกมาอภิปรายดังนี้

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก มองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในยุคถัดไปในโลก Metaverse โดยของเฟซบุ๊ก เขาได้ตั้งชื่อมันว่า “Horizon”ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและพัฒนาการรับรู้ 

โดยปีนี้ Horizon มีแผนที่จะเปิดตัวบนเว็บไซต์ เพื่อให้เราเข้าไปสัมผัสประสบการณ์จากหลายช่องทางได้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆเลย

เขาได้โฟกัสในการลงทุนใน Horizon ที่จะให้ Horizon มีระบบเศรษฐกิจด้วยตัวเอง และสามารถซัพพอร์ทสนับสนุนกลุ่มผู้สร้างคอนเทนต์ ให้เข้ามาทำงานหารายได้จากมันได้ด้วย

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กับ “Discovery Engine” ถือเป็นเรื่องใหญ่และน่ากลัวสำหรับคนทั้งโลก เพราะระบบ AI เหล่านี้จะเข้ามาแนะนำคอนเทนท์และข้อมูลข่าวสารที่คุณอาจไม่ต้องการมัน และไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือคำโฆษณา คุณก็ต้องเสพสื่อเหล่านี้ที่ AI แนะนำมาให้และหลีกเลี่ยงได้ยาก

 การทำแบบนี้จะทำให้คนเล่นเฟซบุ๊กนานขึ้น บริษัทสามารถสร้างรายได้มากขึ้น และสามารถนำรายได้ไปสร้างโลก Metaverse ซึ่งเป็นเป้าหมายของบริษัทได้ แต่เมื่อเฟซบุ๊กถูกควบคุมด้วย “Discovery Engine” หรือระบบหุ่นยนต์ที่แนะนำทุกอย่างให้เราโดยเราไม่สามารถเลือกได้ จะเป็นผลร้ายกับเราหรือไม่ ยังคงต้องติดตามกันต่อไปกับระบบเหล่านี้ 
คนทำเพจ พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ จึงต้องเตรียมตัวรับมือ อย่างเช่นคนที่สร้างตัวตนและขายของออนไลน์ผ่านเพจหรือเฟซบุ๊กส่วนตัว อนาคตจะทำให้คนเห็นน้อยลง ต้องซื้อโฆษณามากขึ้นไปอีก จากที่ปัจจุบันแพงอยู่แล้ว คนทำเพจอาจยอดไลค์ยอดแชร์หายไป เนื่องจาก AI ได้เข้ามากีดกันหรือควบคุมการมองเห็น จนอาจต้องปรับกลยุทธ์การทำคอนเทนท์ใหม่ๆ หรือสำรองด้วยแพลตฟอร์มอื่นๆ
 

related