จิ๊บ เทพอาจ เปิดใจผ่าน Woody FM จากราชาเบียร์ ผันตัวทำค่ายเพลง LOVEiS

เป็นเรื่องราวที่หลายคนให้ความสนใจ เมื่อล่าสุด จี๊บ เทพอาจ กวินอนันต์ ซีอีโอแห่ง LOVEiS Entertainment ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการ Woody FM กับพิธีกรชื่อดัง วู้ดดี้ วุฒิธร เผยเรื่องราวการผันตัวมาทำค่ายเพลงแบบละเอียด พร้อมยอมรับจบกับเจ้าของค่ายเก่าไม่ค่อยดี ทะเลาะกันนานถึง 2 ปีแบบไม่มีใครรู้

ตั้งแต่ทำค่ายเพลง เป็นยังไงบ้าง?

"ก็สนุกขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตมีสีสันขึ้นเรื่อยๆ"

เป็นราชาแอลกอฮอล์ แต่จู่ๆ ผันตัวเองมาทำค่ายเพลง LOVEiS พอเราหลับตา ก็อดคิดถึงหน้าพี่บอยไม่ได้ ตกลงเรากับอีกฝ่ายจบกันยังไง?

"ถ้าพูดแบบสุภาพ คือเราซื้อหุ้นกัน แล้วก็แยกย้ายกัน ถามว่าในอารมณ์แบบไหน ก็คงไม่ค่อยบวกนัก มันถึงได้ไม่มีข่าว ไม่มีใครให้ข่าวอะไร ถ้ามันจากกันด้วยดี ก็คงเป็นข่าวที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้มันก็อยู่ดีๆ ก็ดีดนิ้วเลย ก็กลายเป็นพี่มาทำ ก็แน่นอนมันต้องมีอะไรอยู่ในนั้น"

ได้มีโอกาสเจอกันไหม?

"ไม่เลย ต่างคนต่างใช้ชีวิต อย่างมีความสุขของแต่ละคน" 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• จิ๊บ เทพอาจ กวินอนันต์ ซีอีโอ LOVEiS เปิดโปรเจกต์ใหญ่ชวนน้องมาร้องเพลง
• Lido Connect เปิด LIDO ART CULT พื้นที่ให้กับศิลปะให้ผู้คนและเด็กรุ่นใหม่
• LOVEiS กางความสำเร็จปี 65 เปิดกลยุทธ์ปี 66 คว้าศิลปินดังเข้าสังกัดมากมาย

มันก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ?

"ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นแบบนี้ คือตั้งแต่เข้ามาตอนแรกเนี่ย เข้ามาช่วยฟรี ส่งคนมาช่วยฟรี คือแปลว่าส่งคนมาแล้ว พี่จ่ายเงินเดือน ช่วยอย่างเดียว ไม่ได้คิดมาก คืออยากช่วยจริงๆ เพราะวันนั้นพี่นกบอกว่าพี่บอยจะเลิกละ ผมก็เฮ้ย ผมรักเพลงเบเกอรี่ ผมรักเพลง LOVEiS อ่ะ จะเลิกอะไรว่ะ บอกไม่ไหวแล้วไม่อยากทำต่อ

เอางี้ผมเข้าไปช่วยล่ะกัน ก็เข้าไปช่วยๆ สักพักหนึ่ง ก็เริ่มมีสัญญาณว่ามาหุ้นกัน บอกได้ผมขอหุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ผมถามก่อนเลยเป็นธุรกิจที่พี่จะให้ลูกหลานหรือเปล่า ผมมีธุรกิจ ผมเข้าใจ คือถ้าพี่จะเก็บไว้ให้ลูก เก็บไว้ให้ภรรยา ผมไม่อยากยุ่ง ก็บอกไม่ๆ ไม่มีใครสนใจ ให้เข้ามาหุ้น เอางี้ผมขอหุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์เดียว ผมจะได้รู้สึกว่าผมมีความเป็นเจ้าของ แต่ไม่ได้อยากไปเบียดเบียนพี่" 

"เขาก็บอกไม่ได้ ต้องหุ้นครึ่งๆ ผมก็บอกพี่ห้าสิบๆ นี่มันเลวที่สุดเลยนะ วู้ดดี้ทำธุรกิจ วู้ดดี้ก็เข้าใจ ก็บอกว่ายังไงก็ได้สำหรับพี่ ผมยังไงก็ได้ ก็เลยครึ่งๆ และก็ครึ่งๆ ก็แน่นอนพอมีปัญหา จะลำบาก สิ่งที่ผมกังวลคือลำบากกันสองคนไม่ว่า อย่าให้คนอื่นลำบากด้วย แบบผู้ใหญ่ทะเลาะกัน อย่าให้เด็กสะเทือนด้วย นี่คือสิ่งที่ผมกังวล"

"แต่ว่าวันนั้นที่มันจำเป็นต้องขนาดนั้น เพราะเด็กเริ่มลำบากด้วย พอมันไม่ลงล็อกกัน มันก็ทำให้เด็กๆ ได้รับผลกระทบ เรื่องเงินโน้นนี้ ผมมาถึงจุดโมโหเหมือนกัน ก็เฮ้ย เราทะเลาะกัน ก็เป็นเรื่องราวทะเลาะกันสองคน ทั้งพนักงาน ทั้งศิลปินเกี่ยวอะไร อย่าฟาดงวงฟาดงา อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็เลยคุยกันว่าทางออกไปทางไหน ก็คุยประมาณ 2 ปี ไม่มีใครรู้"

ทำไมถึงปล่อยให้อยู่ถึง 2 ปี เพราะคนอย่างพี่ น่าจะตัดสินใจอะไรเร็ว?

"พี่ง่ายมากเลยนะ ถ้าคุยกันดีๆ ง่ายมากเลย แต่บังเอิญมันมีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วพี่แบบคุณไม่เกี่ยว มันคือเรื่องผมกับคนนี้สองคน เอาคนนี้เข้ามาทำไม แล้วคนนี้เข้ามาก็พังทุกอย่าง เวลาผมอยู่สองคน ผมคุยกันก็หัวเราะ เล่นกันด้วยซ้ำ ทะเลาะกันก็หัวเราะกันได้ แต่พอมีอีกคนเข้ามา นี่เละ แต่ทุกอย่างดีเสมอ"

สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ?

"ห้าสิบเปอร์เซ็นต์จะไม่มีอีกแล้ว อันดับแรก อันดับสองคือผมพยายามเปลี่ยนคน ผมก็เรียนรู้ว่าผมเปลี่ยนคนทุกคน บนโลกใบนี้ไม่ได้ ถึงแม้เราจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ฉะนั้นเปลี่ยนตัวเองก่อน ให้ไม่มีนิสัยไปชอบเปลี่ยนคน พอเรารู้สึกอย่างนั้นได้ มันก็ง่ายขึ้นกับชีวิต แล้วเราก็รู้สึกถอยออกมา คือแปลว่าไม่มีความคาดหวังในคนที่เราทำงานด้วยมากขนาดนั้น"

รู้สึกยังไงกับคำพูดว่าคนขายเหล้า ต้องตกนรก?

"โอ้ยแบบนี้ตกกันเยอะเลย ฝรั่งตกกันเยอะเลย พระที่บวชอยู่เมืองนอกตกกันเยอะเลย ก็เคยถามเรื่องนี้กับพระ พี่เป็นคนปากไม่ค่อยดี เวลาไป ชาวบ้านเขาเรียกสนทนาธรรมใช่ไหม ในความรู้สึกพี่เหมือนไปกวนประสาทท่าน ผมขายเหล้า ก็มองเป็นสินค้าอย่างหนึ่ง ยุให้เขากินจนเมามายป่ะล่ะ ไม่มีผู้ผลิตที่ไหน อยากให้ลูกค้าของเค้า กินจนเมามายนะ"