ถ้าการเงินของคุณถึงขั้นขีดสุดติดแบล็กลิสต์ (Blacklist) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่อยากจะให้เครดิตกลับมาดี มีวิธีแก้อย่างไรตามมาอ่านกัน
การเงินถึงทางตัน ไร้ทางออก ไม่เจอทางหนี มีแต่ความมืดมิด จนถึงขั้น “ติดแบล็กลิสต์ (Blacklist)” ซึ่งต้องบอกว่าการติดแบล็กลิสต์ ส่งผลต่อเครดิตในหลายๆ ด้านเป็นอย่างมาก เพราะไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงิน หรือขอสินเชื่อทุกอย่างได้เลย หรือเรียกได้ว่าหนี้ท่วม ถ้าหมดหนี้เมื่อไหร่ก็ต้องใช้เวลาล้างเครดิตบูโรอีก
เมื่อติดแบล็กลิสต์สิ่งแรกที่ควรทำคือ "ต้องยอมรับ" และพยายามหาทางแก้ไขอย่างสุดกำลัง เพื่อเคลียร์หนี้ที่ค้างอยู่ให้หมด และกลับมาทำให้เครดิตมาสวยอีกครั้ง โดยขั้นตอนในการแก้มีดังต่อไปนี้
ถ้าหากใครมีหนี้หลากหลายช่องทาง แนะนำว่านำทุกอย่างมารวมกัน เพื่อที่จะทราบจำนวนเงินได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นหนี้ทั้งหมดเท่าไหร่ เจ้าหนี้เป็นใครบ้าง และในแต่ละหนี้จำเป็นจะต้องจ่ายเท่าไหร่ ในส่วนนี้ให้ลิสต์ออกมาเป็นกระดาษ จดไว้โดยละเอียด เพื่อที่ว่าตัวเองจะหาทางแก้ได้อย่างตรงจุด และจะช่วยวางแผนการเงินได้ดีมากยิ่งขึ้น
เมื่อได้เห็นยอดทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ไปเจรจากับสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ อาจจะเป็นผ่อนในจำนวนที่น้อยลง ระยะยาวนานขึ้น หรือถ้าหากใครคิดจะรวมหนี้ก้อนเดียว เพื่อประหยัดเงินในการผ่อนก็สามารถดำเนินเรื่องได้เช่นกัน ปกติแล้วทางเจ้าหนี้จะให้ความช่วยเหลือแบบนี้อยู่แล้ว
หลังจากการปรับโครงสร้างหนี้เป็นที่เรียบร้อย ทีนี้ต้องพึงระวังให้ดีอย่าสร้างหนี้เพิ่มเป็นอันขาด เพราะปัญหาเรื่องเงินจะไม่จบไม่สิ้นและจะไม่สามารถผ่านไปได้ ทีนี้ก็ต้องหมั่นสร้างรายได้ เพิ่มช่องทางในการทำเงินมากขึ้น หากจำเป็นต้องมีงานที่ 2 ที่ 3 ก็ต้องทำ เพื่อให้หมดหนี้โดยเร็วที่สุด
ถ้าหากคุณมั่นใจว่าสามารถปลดหนี้ได้ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และต้องการที่จะทำธุรกรรมหรือขอสินเชื่อ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ามาเช็กในเรื่องของเครดิตบูโรว่าขึ้นยังถูกขึ้นอยู่หรือไม่ โดยปกติมักจะขึ้นอยู่ แม้คุณจะปลดหนี้เป็นเวลา 3 ปีแล้วก็ตาม และเมื่อ 3 ปี ผ่านไปประวัติการเงินของคุณก็จะกลับมาปกติอีกครั้ง
สุดท้ายนี้ถ้าอยากจะศึกษาเรื่องแบล็กลิสต์เพิ่มเติม ก็สามารถเข้ามาอ่านกันได้ที่ ติดแบล็กลิสต์ กันได้ โดยเนื้อหาก็จะเป็นการอธิบายเลยว่าแบล็กลิสต์คืออะไร ซึ่งจะกับทุกคนไม่เหมาะเพียงแค่กับคนที่ติดแบล็กลิสต์ เพราะถ้าหากเราทำความเข้าใจก่อน ก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการสร้างหนี้เพิ่มได้นั่นเอง