SHORT CUT
บุหรี่ไฟฟ้าอาจทำลายปอดถาวรในวัยรุ่น: ผศ.นพ. ชายวุฒิ เตือนภัยเงียบจากควันมือสอง–มือสาม ที่ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า และผู้ที่อยู่ใกล้คนสูบไม่ควรมองข้าม"
ในยุคที่คนรุ่นใหม่หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทนบุหรี่มวนด้วยความเข้าใจว่า “ปลอดภัยกว่า” ความจริงบางอย่างกลับถูกมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง งานวิจัยจากหลากหลายประเทศชี้ชัดว่า สารเคมีที่ปะปนอยู่ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของหลอดลมเรื้อรัง ทำลายถุงลม และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอดเรื้อรังในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ระบบหายใจกำลังพัฒนา
เพื่อสร้างความเข้าใจ และชี้ให้เห็นถึงความร้ายแรงองโรคปอดจากมุมมองของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เราขอพาไปพูดคุยกับ ผศ. นพ.ชายวุฒิ สววิบูลย์ อายุรแพทย์ เฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินหายใจ และภาวะวิกฤตโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลเมดพาร์ค (MedPark Hospital) ถึงข้อเท็จจริงของโรคปอดและผลกระทบจากบุหรี่ไฟฟ้าที่อาจทำให้คุณป่วยโดยไม่รู้ตัวได้ง่าย ๆ
ผศ. นพ.ชายวุฒิ บอกสิ่งที่น่าสนใจว่า สถิติชัดเจนได้เผยว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กและเยาวชนสูบกันมากขึ้น และเริ่มใช้ในอายุน้อยลง ซึ่งผลระยะสั้นจะเสี่ยงต่อการเกิดอาการไอ หายใจลำบาก ปอดอักเสบเฉียบพลัน (EVALI) และติดเชื้อทางเดินหายใจง่ายขึ้น
ส่วนในระยะยาว การใช้บุหรี่ไฟฟ้าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
ผศ. นพ.ชายวุฒิ ได้ยกตัวอย่างเคสเยาวชนอายุ 18 ปีรายหนึ่งที่ต้องเข้ารับการรักษาในห้อง ICU ตอนแรกผู้ป่วยมาแบบเหมือนเป็นไข้หวัด พอสืบประวัติพบว่าเพิ่งเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้า และเอกซเรย์พบฝ้าขาวในปอด แต่ปอดกลับได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งมีอาการ เช่น ไข้ ไอ หายใจลำบาก และแม้ผู้ป่วยรายนั้นจะรอดชีวิต แต่ปอดกลายเป็นพังผืด ซึ่งไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้
ผศ. นพ.ชายวุฒิ เล่าว่า ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อเยาวชนและเด็กอายุน้อยนั้นรุนแรงกว่าที่หลายคนคิด เพราะในช่วงวัยนี้ ร่างกายยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะสมอง ปอด และระบบประสาท ซึ่งเป็นสิ่งที่บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบได้โดยตรง อาจทำให้ป่วยเป็นเยื่อบุหลอดลมหรือถุงลมในปอด ระคายเคืองและอักเสบเรื้อรัง เสี่ยงต่อโรคปอดอักเสบเฉียบพลัน หลอดลมอักเสบ หอบหืด โรคมะเร็งปอด พังผืดในปอดในอนาคตได้ง่ายขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการเปิดทางให้ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเข้าสู่สารเสพติดอื่น เช่น กัญชา เหล้า ยาอี ฯลฯ เพราะเริ่มจากสิ่งที่ “ดูไม่อันตราย” วัยรุ่นมักถูกชักชวนให้ “อัปเกรดกลิ่น” หรือ “ลองน้ำยาแปลก ๆ”
ส่วนความเชื่อที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา เป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างมาก เพราะในความเป็นจริงแล้ว บุหรี่ธรรมดามีกระบวนการควบคุมที่ชัดเจน เรารู้แหล่งที่มาของใบยาสูบ สามารถกำหนดปริมาณสารต่าง ๆ ได้ รวมถึงมีการควบคุมคุณภาพในระดับหนึ่ง
แต่ในทางตรงกันข้าม บุหรี่ไฟฟ้ายังไม่มีการควบคุมที่เข้มงวดเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะในเรื่องของน้ำยาที่ใช้ เราไม่มีทางรู้ได้แน่ชัดเลยว่าในนั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง บางครั้งอาจมีการใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นเพื่อให้เกิดการเผาไหม้หรือระเหย ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์แรงกว่าและออกฤทธิ์เร็วกว่า อีกทั้งยังมีโอกาสปนเปื้อนสารที่กระตุ้นการเสพติดในระดับสูง
จากการศึกษาที่ผ่านมา เราพบว่าสารที่ได้จากกระบวนการเผาไหม้หรือทำให้ระเหยในบุหรี่ไฟฟ้า มักเป็นสารเคมีเฉพาะทางที่ไม่ได้มีในบุหรี่ธรรมดา ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อร่างกายมากกว่า
“ดังนั้น แทนที่จะปลอดภัยกว่าตามที่หลายคนเข้าใจ บุหรี่ไฟฟ้ากลับกลายเป็นสิ่งที่อันตรายมากกว่าในหลายมิติครับ” ผศ. นพ.ชายวุฒิ กล่าว
ผศ.นพ. ชายวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในยุคที่บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นกระแสในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า “ปลอดภัยกว่า” บุหรี่ธรรมดา เพราะไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่เกิดควันหนา และดู “สะอาด” กว่า แต่ความจริงแล้ว บุหรี่ไฟฟ้าก็ยังเป็นแหล่งแพร่กระจายสารเคมีอันตราย ทั้งต่อผู้สูบเอง และที่สำคัญคือกระทบต่อคนรอบข้าง โดยเฉพาะเด็กที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า “ควันมือสอง” และ “ควันมือสาม”
ควันมือสอง หมายถึง ไอระเหยที่มองไม่เห็นแต่มีอยู่จริง แม้บุหรี่ไฟฟ้าจะไม่สร้างควันเหมือนบุหรี่ทั่วไป แต่ไอระเหยที่พ่นออกมาจากปากผู้สูบยังคงเต็มไปด้วยสารเคมีหลายชนิด เช่น นิโคติน ฟอร์มัลดีไฮด์ โลหะหนัก และอนุภาคฝุ่นละเอียด (PM2.5)
สารเหล่านี้สามารถลอยฟุ้งในอากาศและเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่อยู่ใกล้ได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคหอบหืด อาจเกิดอาการระคายเคืองทางเดินหายใจ
ควันมือสาม คือ อันตรายที่ตกค้าง ไอระเหยจากบุหรี่ไฟฟ้ายังสามารถตกค้างบนพื้นผิวต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า ผ้าม่าน เฟอร์นิเจอร์ในห้อง หรือแม้แต่ของเล่นของเด็ก สารเคมีเหล่านี้ยังคงติดอยู่ได้นานถึง 6 วันหรือเป็นสัปดาห์ ซึ่งหากมีคนไปสัมผัส หรือหายใจเอาไอที่ระเหยซ้ำอีกครั้งเข้าไป ก็อาจได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เด็กเล็กที่คลานหรือเล่นกับของเล่นที่มีสารเคมีตกค้างจากควันมือสาม โดยไม่มีใครรู้เลยว่า แค่ “กลิ่นจาง ๆ” ที่หลงเหลืออยู่ อาจนำพาสารพิษเข้าสู่ร่างกายได้
ผศ. นพ.ชายวุฒิ กล่าวว่า สำหรับผู้ที่มีประวัติการสูบบุหรี่ หรือกำลังมีความกังวลเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว หรือเริ่มมีอาการทางปอดแล้ว แนะนำให้เข้ามารับการตรวจที่ คลินิกโรคปอด โรงพยาบาลเมดพาร์ค ซึ่งเรามีบริการตรวจวิเคราะห์หลายด้าน ทั้งการตรวจความเสียหายของปอด ตรวจสมรรถภาพปอด รวมถึงการประเมินภาวะติดสารนิโคติน เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
ในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือแม้แต่อายุน้อยกว่านั้นแต่มีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือโรคทางเดินหายใจ เราอยากเชิญชวนให้เข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอด ด้วยวิธี Low Dose CT Lung Cancer (LDCLC) เพื่อคัดกรองและตรวจหาร่องรอยของความเสียหายในปอดที่อาจยังไม่แสดงอาการชัดเจน
โรงพยาบาลเมดพาร์คมีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างเต็มที่ เรามีทีมแพทย์วิกฤตบำบัดที่ได้รับการรับรองเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จาก European board และ American board พร้อมด้วยพยาบาลวิชาชีพเฉพาะทางด้านเวชบำบัดวิกฤต รวมถึงมีจำนวนเตียงที่รองรับผู้ป่วยได้เพียงพอ และเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ สามารถรองรับการดูแลผู้ป่วยวิกฤตในระดับสูงสุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรงพยาบาลเมดพาร์ค มีศักยภาพในการรักษาที่ครอบคลุมโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดทั่วไป โรคหอบหืด ทั้งยังมีความพร้อมสูงสุดในการรองรับผู้ป่วยที่มีภาวะซับซ้อน ภายในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) นอกจากนี้ เรายังมี คลินิกเลิกบุหรี่ ที่พร้อมให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด โดยทีมแพทย์เฉพาะทางและบุคลากรจากสหสาขาวิชาชีพ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลิกบุหรี่ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุด
สำหรับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจจากการสูบบุหรี่ สามารถหายขาดได้ แต่ในบางกรณีก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสริมต่าง ๆ เช่น โรคประจำตัวที่มีอยู่เดิม อายุ ระยะของโรค สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ในการรักษาดีขึ้นอย่างชัดเจน คือ การรีบเลิกบุหรี่โดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งเลิกได้ไว โอกาสในการฟื้นฟูสุขภาพก็ยิ่งสูงขึ้น
ผศ. นพ.ชายวุฒิ ทิ้งท้ายว่า อยากฝากเตือนและชวนให้ทุกคนไม่เพียงแค่ ‘เลิกบุหรี่’ เท่านั้น แต่ต้องรู้จัก ‘ป้องกันตัวเอง’ อย่างรอบด้านด้วย เราควรสร้างสุขภาวะที่ดี สวมหน้ากากอนามัยในจุดที่มีมลพิษ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงควรได้รับวัคซีนที่เหมาะสมตามช่วงอายุและฤดูกาล เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ ซึ่งผู้ป่วยโรคปอด ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือมีปัญหาทางเดินหายใจ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลเมดพาร์คได้เลยครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง