svasdssvasds

ตำแหน่ง “เจ้าอาวาส” กับ “ผู้กำกับ สน.ตำรวจ” ความเหมือนที่แตกต่าง ?

ตำแหน่ง “เจ้าอาวาส” กับ “ผู้กำกับ สน.ตำรวจ” ความเหมือนที่แตกต่าง ?

เจ้าอาวาสวัดดัง vs ผู้กำกับโรงพักเกรด A: เมื่อเก้าอี้ทำเลทองในวงการผ้าเหลืองและสีกากีกลายเป็นสนามแข่งวิ่งเต้นเพื่อผลประโยชน์

SHORT CUT

  • ตำแหน่งเจ้าอาวาสกับผู้กำกับ สน.ตำรวจเป็นเป้าหมายที่หลายคนหมายปอง
  • ทั้งสองตำแหน่งมีอำนาจและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในพื้นที่ที่ตนปกครอง ทำให้เกิดกระบวนการ “วิ่งเต้น” เพื่อชิงตำแหน่งอย่างเข้มข้น 
  • เช่น กรณีพระครูอุดมปัญญาภรณ์ที่ถูกหลอกให้โอนเงิน 200,000 บาทเพื่อแลกกับการเลื่อนสมณศักดิ์ และกรณีชาวบ้านในจังหวัดนครปฐมรวมตัวขับไล่เจ้าอาวาสวัดบ้านบุ่ง หลังพบว่าใช้เงินวัดจำนวน 1.5 ล้านบาทเพื่อวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งเจ้าคณะตำบล 
  • วัดในทำเลทองหรือ “วัดเกรด A” มีรายได้สูงจากเงินบริจาค ค่าเช่าที่ดิน และกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ส่วนสถานีตำรวจในพื้นที่เศรษฐกิจสูงหรือ “โรงพักเกรด A” ก็มีรายได้สูงจากผลประโยชน์ในพื้นที่ เช่น สถานบริการยามราตรีหรือแหล่งธุรกิจผิดกฎหมาย 

เจ้าอาวาสวัดดัง vs ผู้กำกับโรงพักเกรด A: เมื่อเก้าอี้ทำเลทองในวงการผ้าเหลืองและสีกากีกลายเป็นสนามแข่งวิ่งเต้นเพื่อผลประโยชน์

ในสังคมไทย เจ้าอาวาสวัดไทย และผู้กำกับสถานีตำรวจ (สน.) เป็นสองตำแหน่งทรงอำนาจที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ฝ่ายหนึ่งห่มผ้าเหลืองเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ อีกฝ่ายสวมเครื่องแบบสีกากีรักษากฎหมาย

ทว่า 2 ตำแหน่งนี้กลับมีความละม้ายคล้ายคลึงกันแบบตลกร้าย ตรงที่กลายเป็น “เก้าอี้ทำเลทอง” ที่หลายคนหมายปอง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาลในพื้นที่ที่ตนปกครอง ส่งผลให้เกิดกระบวนการ “วิ่งเต้น” ชิงตำแหน่งกันอย่างเข้มข้น

ตำแหน่ง “เจ้าอาวาส” กับ “ผู้กำกับ สน.ตำรวจ” ความเหมือนที่แตกต่าง ?

วงการผ้าเหลือง ต้องวัดทำเลทอง

ในพระพุทธศาสนามีระเบียบขั้นตอนตามกฎมหาเถรสมาคม ซึ่งกำหนดคุณสมบัติของพระภิกษุที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสไว้อย่างชัดเจน เช่น ต้องมีพรรษาไม่ต่ำกว่า 10 พรรษา และมีสมณศักดิ์ตามที่กำหนด โดยการคัดเลือกขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าคณะผู้ปกครองตามลำดับชั้น หน้าที่หลักของเจ้าอาวาสคือการปกครองและบำรุงรักษาวัด แต่ด้วยสิทธิที่มีมากมายในวัด ก็อาจทำให้เข้าไปยุ่งเรื่องบัญชีเงินวัด และเป็นตำแหน่งที่ง่ายต่อการวิ่งเต้นเพื่อเลื่อนสมณศักดิ์อีกด้วย ดังที่เป็นข่าวในสื่อหลายครั้ง

ย้อนไปในปี 2547 มีข่าวดัง กรณีพระครูอุดมปัญญาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชัยมงคล และเจ้าคณะอำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ถูกหลอกให้โอนเงิน 200,000 บาทให้กับผู้แอบอ้างเป็นพระมหาปรีชา สิริจันโท เพื่อแลกกับการเลื่อนสมณศักดิ์ ก่อให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับจริยธรรมและความโปร่งใสในคณะสงฆ์ ส่วนในปี 2561 มีข่าวชาวบ้านในจังหวัดนครปฐมรวมตัวขับไล่เจ้าอาวาสวัดบ้านบุ่ง หลังพบว่าใช้เงินวัดจำนวน 1.5 ล้านบาทเพื่อวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งเจ้าคณะตำบล โดยมีการโอนเงินผ่านบัญชีของพระลูกวัดเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
ล่าสุด ปี 2567 “เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง” ที่เป็นข่าวร้อนกรณียักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้าน แถมยังโดนแฉว่าซื้อตำแหน่งเจ้าคณะตำบลอีกด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นแค่เคสที่ออกข่าวเท่านั้น ยังไม่นับเคสที่ไม่ออกข่าวที่คาดว่าคงมีมากมายเช่นกัน ก่อให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับจริยธรรมและความโปร่งใสในคณะสงฆ์
 

และแน่นอน สิ่งที่ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาส “หอมหวาน” คือ ต้องอยู่ในวัดทำเลทองด้วย ถ้าได้เป็นเจ้าอาวาสวัดดัง หรือจะเรียกว่า “วัดเกรด A” ยิ่งรายได้เข้าวัดสูง สถิติปี 2561 ระบุว่าภาพรวมรายได้ของวัดทั่วประเทศพึ่งพาเงินบริจาคเป็นหลักหลายหมื่นล้านบาทต่อปี โดยมีการประมาณว่าคนไทยบริจาคเงินให้วัดรวมกันราว 5.44 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยวัดใหญ่มีรายได้จากค่าเช่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ของวัด ค่าจำหน่ายวัตถุมงคล ค่าธรรมเนียมประกอบพิธีทางศาสนา งบอุดหนุนบูรณะจากรัฐ ตลอดจนรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในวัดท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้ที่ “เยอะกว่างบประมาณของหลายกระทรวงเสียอีก!”

PHOTO Tarik Abdel-Monem

“ตั๋วช้างตำรวจ” และ “โรงพักเกรด A”

เมื่อหันมาดูวงการตำรวจ ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันตรงที่ ตำแหน่งผู้กำกับสถานีตำรวจ ก็มีข่าวใช้เส้นสายและทรัพย์สินเข้าแลกเหมือนกัน จนเป็นที่เลื่องลือในวงการสีกากี ตัวอย่างปรากฏการณ์ “ตั๋วช้าง” ที่ถูกอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรปี 2564 อธิบายถึงการใช้เส้นสายระดับสูงเพื่อให้ได้ตำแหน่งตำรวจ และนอกจากนี้ก็มีข่าวตำรวจวิ่งเต้น หรือตำรวจโดนหลอกให้จ่ายเงินเพื่อตำแหน่งผู้กำกับให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ เช่นกัน


เช่นเดียวกับวัด ถ้าสถานีตำรวจอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจ ก็มีโอกาสที่ผลประโยชน์จะวิ่งเข้าหา โดย พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร (อดีตนายตำรวจและเลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม) เคยเผยว่า “โรงพักเกรด A คือมีรายได้สูง...มียอดเงิน (นอกระบบ) เก็บได้เป็น 10 ล้านบาทต่อเดือน” ซึ่งรายได้นี้ไม่ได้มาจากเงินเดือนราชการแน่นอน หากแต่มาจาก “ผลประโยชน์ในพื้นที่” ของสถานีแห่งนั้น เช่น สถานบริการยามราตรีหรือแหล่งธุรกิจผิดกฎหมายที่ยอมจ่ายให้ตำรวจเพื่อแลกกับการไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี


จะเห็นว่าภาพรวมของเจ้าอาวาสวัดไทย และผู้กำกับสถานีตำรวจ (สน.) มีบทบาทแตกต่างกัน แต่เอื้อผลประโยชน์เหมือนกัน ยิ่งตำแหน่งสูง อยู่ในทำเลทอง ก็ยิ่งมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าเพื่อนในอาชีพเดียวกัน  แต่ไม่ได้เหมารวมว่าทุกวัดหรือทุกสถานีตำรวจจะเป็นเช่นนี้ทั้งหมด นี่เป็นเพียงการนำเสนอเรื่องราวที่ปรากฏในข่าวมาเปรียบเทียบกันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมซื้อขายตำแหน่งก็เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกมานาน จนคนไทย “คุ้นเคยกันดี” ในทุกวงการอยู่แล้ว

“ระบบการจัดการของไทย เป็นระบบที่ยอมรับความผิดปกติเหล่านี้เป็นเรื่องปกติไปแล้วหรือ?”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related