เปิดชนวนสงคราม อิหร่าน-อิสราเอล ยิงขีปนาวุธโต้เดือดนานหลายวัน พลิก "สงครามเงา" สู่การเผชิญหน้าปะทะกันอย่างเต็มรูปแบบ
อิสราเอลและอิหร่าน กลับมากระหน่ำยิงขีปนาวุธและโดรนโต้ตอบกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าที่ผ่านมาทั้งสองประเทศจะโจมตีกันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ แต่ครั้งนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ เพราะมันไม่ใช่แค่การยกระดับความรุนแรงตามปกติ แต่เป็นการสิ้นสุดลงของ "สงครามเงา" (Shadow War) ที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ เข้าสู่ยุคใหม่ของการเผชิญหน้าระหว่างรัฐต่อรัฐอย่างเต็มรูปแบบ
ชนวนเหตุสำคัญของการแตกหักครั้งนี้ มาจากการที่อิสราเอลประเมินว่า โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน กำลังก้าวข้ามจุดอันตรายที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ จึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน โดยอ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อป้องกันภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2025 อิสราเอลได้เริ่มปฏิบัติการทางทหารที่มีชื่อว่า Operation Rising Lion หรือ "ราชสีห์ผงาด" ด้วยการใช้โดรนและอากาศยานรบ โจมตีเป้าหมายกว่าสิบแห่งในอิหร่าน โดยเน้นไปที่การลดทอนศักยภาพทางการทหาร เช่น การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์หลายแห่ง ลอบสังหารบุคลากรระดับสูง ตั้งแต่ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม หรือ IRGC ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ และทำลายโครงสร้างทางทหารอย่างฐานยิงขีปนาวุธ คลังขีปนาวุธ และค่ายทหารของ IRGC
นอกจากนี้ยังพุ่งเป้าการโจมตีไปยังอุตสาหกรรมพลังงานและและขัดขวางการสื่อสารข้อมูลด้วยการโจมตีสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของอิหร่านในขณะกำลังออกอากาศสด จนผู้ประกาศข่าวต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ก่อนจะประกาศควบคุมน่านฟ้าเหนือกรุงเตหะรานอย่างสมบูรณ์
ด้านอิหร่านก็เริ่มปฏิบัติการตอบโต้อย่างรวดเร็วและรุนแรง ภายในช่วงเย็นของวันเดียวกัน ด้วยการยิงขีปนาวุธและส่งโดรนโจมตีหลายระลอกเข้าใส่ดินแดนอิสราเอล พุ่งเป้าไปยังเมืองใหญ่และศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์อย่างกรุงเทลอาวีฟและเมืองท่าไฮฟา อ้างว่าเป็นการล้างแค้นต่อการสังหารผู้บัญชาการระดับสูงและการรุกรานของอิสราเอล
แต่ก่อนการโจมตี กองทัพอิหร่านได้ออกคำเตือนให้พลเรือนชาวอิสราเอลอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ตั้งทางทหาร เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย
แม้จะมีรายงานว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ซับซ้อนของอิสราเอลสามารถสกัดกั้นการโจมตีได้เกือบทั้งหมด แต่ก็มีบางส่วนที่เจาะทะลุแนวป้องกันและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง เนื่องจากอิหร่านได้ใช้ขีปนาวุธรุ่นใหม่ "ฮัจ กัสเซ็ม" ที่ออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอล
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังคงผลัดกันโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานกว่า 5 วัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็เริ่มบานปลาย โดยเฉพาะความเสียหายต่อย่านที่อยู่อาศัยที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือน โดยในวันที่ 17 มิถุนายน อิสราเอลมีรายงานผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 20 ราย บาดเจ็บอีกมากกว่า 390 คน และอิหร่านมีรายงานผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 200 ราย บาดเจ็บอีกมากกว่า 1,200 คน
หากย้อนกลับไปเมื่อช่วง 70 กว่าปีที่แล้ว ก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติอิสลาม อิหร่านนับเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับอิสราเอล ซึ่งมีความร่วมมือต่อกันอย่างลับๆ ทั้งในด้านพลังงานและความมั่นคง ทั้งยังเป็นหนึ่งในชาติมุสลิมไม่กี่ชาติที่ให้การรับรองรัฐอิสราเอลหลังการประกาศเอกราชในปี 1948 ด้วย
แต่จุดเปลี่ยนครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1979 เมื่ออิหร่านเกิดการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์และสถาปนาสาธารณรัฐอิสลามขึ้น ภายใต้การนำของผู้นำคนใหม่อย่าง อยาตอลเลาะห์ รูฮอลเลาะห์ โคไมนี ที่ประกาศอุดมการณ์อย่างชัดเจนว่า อิสราเอลคือ "รัฐไซออนิสต์" ที่เป็นเครื่องมือของมหาซาตาน เป็นเนื้องอกร้ายที่ต้องถูกกำจัดออกจากใจกลางโลกมุสลิม
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งระหว่างสองชาติได้ดำเนินไปในรูปแบบของ "สงครามเงา" และ "สงครามตัวแทน" เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง จนกระทั่ง "การพัฒนานิวเคลียร์" ของอิหร่าน ได้ก้าวข้ามเกินขีดจำกัดที่อิสราเอลจะรับได้ กลายเป็นชนวนที่พลิกจากสงครามเงามาสู่การปะทะกันโดยตรงในที่สุด
ขณะที่ประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่สงคราม แต่ก็ยังต้องรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยหลักๆ คือการปรับตัวของราคาน้ำมันที่จะพุ่งสูงขึ้นจนกระทบค่าครองชีพของประชาชน การคุกคามเส้นทางเดินเรือที่จะขัดกวางการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมถึงความมั่นคงและสวัสดิภาพขอแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในตะวันออกกลางด้วย