SHORT CUT
5 วิธีดูแลสุขภาพให้อายุยืน แม้ต้องทำงานหนัก "สุขภาพดีไม่ต้องเพอร์เฟกต์: เริ่มจากเป้าหมายที่ทำได้จริง ปรับแผนเมื่อจำเป็น และให้อภัยตัวเองเมื่อพลาดบ้าง
เราทุกคนรู้ดีว่า “สูตรการมีอายุยืน” นั้นไม่ได้ลับอะไรเลย ขอแค่ กินดี นอนหลับให้พอ ออกกำลังกาย แต่สำหรับคนที่มีเวลาแต่ละวันจำกัด ชีวิตที่ทำงานหมุนไปไม่หยุด ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า... จะเริ่มตรงไหนดี?
ทั้งนี้ นักวิจัยด้านชราภาพเตือนว่า อย่าเพิ่งไปทำตามอินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพแบบเป๊ะทุกข้อ เพราะการตั้งเป้าหมายสูงเกินไป อาจพาไปสู่ความรู้สึกท้อแท้และเลิกล้มกลางทางได้
สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ทำได้จริง แม้วันละไม่กี่นาที ก็ส่งผลต่อสุขภาพและลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้แล้ว นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (UCLA) ชี้ว่าพฤติกรรมง่าย ๆ เหล่านี้มีอิทธิพลต่ออายุยืนมากกว่าที่คิด
ก่อนจะกระโดดเข้าสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมใด ๆ ลองหยุดคิดก่อนว่า “ทำไมคุณถึงอยากมีอายุยืน?”
เหตุผลนั้นอาจจะเรียบง่าย เช่น อยากมีแรงพาเจ้าตัวเล็กไปเดินเล่น อยากยังคงเล่นหมากรุกกับเพื่อนเก่าได้แม้อายุ 90 หรืออาจจะลึกซึ้งกว่านั้น เช่น ไม่อยากให้โรคเบาหวานหรือหัวใจล้มเหลวที่พรากพ่อแม่คุณไป ต้องเกิดซ้ำในชีวิตตัวเอง
แรงจูงใจที่เป็น “ของคุณจริง ๆ” จะกลายเป็นเข็มทิศที่ช่วยให้คุณเลือกพฤติกรรมที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ตามกระแส ตัวอย่างเช่น หากคุณมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน หรือความดันสูง คุณอาจเริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมการกิน ลดน้ำตาลและโซเดียม ควบคู่ไปกับการเดินเร็วหรือออกกำลังกายเบา ๆ ทุกวัน
ในทางตรงกันข้าม หากคุณมองเห็นภาพอนาคตของตัวเองว่าอยากยังเดินขึ้นเขา ถ่ายรูป ดื่มกาแฟกับเพื่อนในวัย 80+ การดูแลข้อเข่า กล้ามเนื้อ และความยืดหยุ่นของร่างกายก็อาจเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ
หลายคนเริ่มต้นเส้นทางดูแลสุขภาพด้วยแรงบันดาลใจล้นทะลัก ตั้งเป้าแบบจัดเต็ม เช่น จะออกกำลังกายทุกวัน จะเลิกขนมหวานเด็ดขาด หรือตื่นตีห้าไปวิ่งทุกเช้า แต่พอผ่านไปไม่กี่วันกลับรู้สึกท้อ เพราะแผนเหล่านั้นไม่เข้ากับชีวิตจริงที่เต็มไปด้วยงานด่วน การเดินทาง หรือภาระที่ไม่คาดคิด
สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่การตั้งเป้าที่ “สมบูรณ์แบบ” แต่คือการตั้งเป้าที่ “ทำได้จริงในบริบทของเรา” เช่น อาจเริ่มจากลดขนมแปรรูปเหลือแค่วันเว้นวัน แทนที่จะงดทันที ลองนั่งสมาธิแค่วันละ 5 นาที หรือเลือกออกกำลังกายเบา ๆ อย่างเดินเร็วหรือโยคะ สัปดาห์ละ 2–3 วัน แทนที่จะบังคับตัวเองให้ไปฟิตเนสทุกวัน
พอทำไปสักพัก ให้มีช่วงเวลา ทบทวนเป็นประจำ อาจเป็นทุกสุดสัปดาห์ หรือทุกต้นเดือน ถามตัวเองว่า “ฉันยังอยากทำสิ่งนี้อยู่ไหม? ฉันรู้สึกดีขึ้นจริงหรือเปล่า? หรือมันกำลังกลายเป็นภาระ?”
ถ้าทำไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องล้มเหลว แต่เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาปรับเป้าให้เหมาะขึ้นอีกนิด ลองถามตัวเองด้วยความซื่อสัตย์ว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันอยากทำจริงไหม? หรือแค่รู้สึกว่าควรทำตามคนอื่น?”
ถ้าคำตอบคือมันยากเกินไป อาจเปลี่ยนเป็นกิจกรรมที่คล้ายกันแต่เบาลง เช่น ลองนั่งสมาธิวันละ 5 นาที หรือออกกำลังกายสั้น ๆ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จงจำไว้ว่าการดูแลตัวเองไม่ใช่การสอบวัดผล แต่คือกระบวนการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ยิ่งคุณเปิดใจให้ตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะทำสิ่งดี ๆ ต่อสุขภาพได้ยาวนานขึ้นอย่างยั่งยืน
ถ้ามีเวลาแค่พอเลือกหนึ่งอย่าง จงเลือกออกกำลังกาย “มันส่งผลทั้งกับหัวใจ สมอง การเผาผลาญ และยังช่วยให้นอนดีขึ้น” การวิจัยจาก Stanford บอกว่าแค่ 30 นาทีต่อวัน ของการเคลื่อนไหวระดับปานกลาง ก็ลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องทำรวดเดียว!
แบ่งเป็นช่วงสั้น ๆ วันละ 3-5 นาที เช่น ขึ้นบันได ทำสควอช หรือวิดพื้น ก็ได้ผลเช่นกัน
การนอนที่ไม่สม่ำเสมอสัมพันธ์กับโรคมากมาย เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า และภาวะสมองเสื่อม
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรนอนประมาณ 7 ชั่วโมงแบบไม่สะดุ้งตื่น เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมเต็มที่
เคล็ดลับง่าย ๆ คือ: ตื่นเวลาเดิมทุกวัน แม้จะรู้สึกง่วง เพราะมันจะช่วยปรับนาฬิกาชีวิต และทำให้ง่วงตรงเวลาในคืนถัดไป
ความเครียดเรื้อรัง ความโดดเดี่ยว และภาวะซึมเศร้าเป็นตัวเร่งอายุสั้น แต่วิธีต้านมันกลับง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ แค่วันละไม่กี่นาทีของ สมาธิหรือการขอบคุณสิ่งเล็ก ๆ
อีกวิธีคือฝึก “การสังเกตอย่างมีสติ” เช่น เดินไปข้างนอกแล้วสังเกตสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว หรือสังเกตเพื่อนร่วมงานให้เจอความต่าง 3 อย่างในวันนี้ “เมื่อเรามีสติอยู่กับปัจจุบัน เราแก้ปัญหาได้หลายทาง ไม่หัวร้อนง่าย และแทนที่จะพยายามยืดชีวิตด้วยปี เราจะได้ เติมชีวิตให้ทุกวันแทน”
ที่มา nytimes