svasdssvasds

Argo หนังสายลับ ฝ่าไฟขัดแย้งยุคปฏิวัติอิหร่าน คว้าออสการ์- จุดชนวนถกเถียง

Argo หนังสายลับ ฝ่าไฟขัดแย้งยุคปฏิวัติอิหร่าน คว้าออสการ์- จุดชนวนถกเถียง

ในช่วงสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ณ ปี 2025 , ชวนดู “Argo” หนังสายลับฝ่าความขัดแย้งยุคปฏิวัติอิหร่าน ที่คว้าออสการ์พร้อมจุดชนวนถกเถียงในหน้าประวัติศาสตร์มากมมาย

“Argo” หนังสายลับฝ่าความขัดแย้งยุคปฏิวัติอิหร่าน ที่คว้าออสการ์พร้อมจุดชนวนถกเถียงในหน้าประวัติศาสตร์

ภาพยนตร์ระทึกขวัญ-การเมืองเจ้าของรางวัลออสการ์ปี 2012 เรื่อง "Argo" ที่กำกับและนำแสดงโดยเบน แอฟเฟล็ก แม้จะได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามในด้านความบันเทิงและตื่นเต้นในช่วงเวลานั้น  แต่ก็ได้จุดประกายให้เกิดข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเด็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่ออรรถรสของภาพยนตร์ การลดทอนบทบาทของบุคคลสำคัญ และการนำเสนอภาพลักษณ์ของชาวอิหร่านในแง่ลบ

ภาพยนตร์ Argo เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจ จากเรื่องจริงของปฏิบัติการ "Canadian Caper" ในช่วงวิกฤตการณ์ ตัวประกันในอิหร่าน 4 พฤศจิกายน ปี 1979 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังช่วงที่ อิหร่านปฏิวัติอิสลาม  (7 ,มกราคม 1978 – 11 กุมภาพันธ์ 1979)

ใน ภาพยนตร์ Argo นั้นเล่าถึง - เจ้าหน้าที่ซีไอเอ โทนี่ เมนเดซ (รับบทโดย เบน แอฟเฟล็ก) ได้วางแผนช่วยเหลือนักการทูตชาวอเมริกัน 6 คนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านพักของทูตแคนาดาในกรุงเตหะราน โดยปลอมตัวเป็นทีมงานสร้างภาพยนตร์ไซไฟชื่อ "Argo" เพื่อเดินทางเข้าไปในอิหร่านและพาตัวประกันออกมาอย่างแนบเนียน ท่ามกลางความลุ้นระทึกว่าจะถูกจับได้  หรือแผนการจะแตก 

 

อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงหลักๆ ที่เกิดขึ้นหลังภาพยนตร์ออกฉาย มีดังนี้

การลดทอนบทบาทของแคนาดา 

ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือการที่ภาพยนตร์ลดทอนบทบาทสำคัญของรัฐบาลแคนาดาและเคน เทย์เลอร์ เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำอิหร่านในขณะนั้น ในความเป็นจริง ปฏิบัติการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "Canadian Caper" เนื่องจากบทบาทนำของแคนาดาในการให้ที่พักพิงแก่นักการทูตอเมริกันเป็นเวลานานกว่าสองเดือน และยังให้ความช่วยเหลืออย่างยิ่งยวดในการวางแผนหลบหนี แต่ภาพยนตร์กลับนำเสนอให้เห็นว่าซีไอเอเป็นผู้ริเริ่มและเป็นหัวใจหลักของภารกิจทั้งหมด ทำให้บทบาทของแคนาดาเป็นเพียงผู้สนับสนุนรองลงมา

จิมมี่ คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้ออกมาให้ความเห็นว่า "90% ของการวางแผนช่วยเหลือมาจากชาวแคนาดา"  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อการให้เครดิตที่ไม่เป็นธรรมของภาพยนตร์
 

การเสริมแต่งฉากเพื่อความบันเทิง 

บนบรรทัดแห่งความเป็น Fiction หรือเรื่องแต่งตามจินตนาการ - เพื่อเพิ่มความตึงเครียดและระทึกใจ ภาพยนตร์ Argo ได้เสริมแต่งและสร้างฉากที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมาหลายฉาก โดยเฉพาะในช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเรื่อง ฉากการไล่ล่าบนรันเวย์สนามบินเตหะราน และการอนุมัติตั๋วเครื่องบินในนาทีสุดท้ายไม่เคยเกิดขึ้นจริง ในความเป็นจริง การเดินทางออกจากอิหร่านของกลุ่มนักการทูตเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าที่ปรากฏในภาพยนตร์มาก นักประวัติศาสตร์และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงต่างชี้ว่าการสร้างฉากเหล่านี้ขึ้นมาเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่างร้ายแรง

การนำเสนอภาพลักษณ์ชาวอิหร่าน 

ภาพยนตร์ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการนำเสนอภาพของชาวอิหร่านในลักษณะที่เป็นแบบแผน (stereotype) โดยส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นมวลชนที่เกรี้ยวกราด ไร้เหตุผล และเป็นปฏิปักษ์ไปเสียหมด 

รัฐบาลอิหร่านประณามภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็น "โฆษณาชวนเชื่อที่ต่อต้านอิหร่าน" และนักวิจารณ์หลายคนชี้ว่าภาพยนตร์ล้มเหลวในการให้บริบททางประวัติศาสตร์ที่เพียงพอเกี่ยวกับเหตุผลที่นำไปสู่การปฏิวัติอิสลามและการยึดสถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการที่ซีไอเอมีส่วนร่วมในการรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของอิหร่านในปี 1953

ความไม่ถูกต้องในรายละเอียดอื่นๆ 

นอกเหนือจากประเด็นหลักข้างต้น ยังมีความไม่ถูกต้องในรายละเอียดอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์อ้างว่าสถานทูตอังกฤษและนิวซีแลนด์ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือนักการทูตอเมริกัน ซึ่งได้รับการปฏิเสธอย่างแข็งขันจากเจ้าหน้าที่การทูตของทั้งสองประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์จริง

ข้อแก้ต่างจากทีมผู้สร้าง 

เบน แอฟเฟล็ก และทีมผู้สร้างภาพยนตร์ ได้ออกมาปกป้องผลงานของตนโดยกล่าวว่า "Argo" เป็นภาพยนตร์ที่ "อิงจากเรื่องจริง" (based on a true story) ไม่ใช่สารคดี 

การปรับเปลี่ยนบางส่วนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างโครงเรื่องที่น่าติดตามและเข้มข้นสำหรับผู้ชมในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม คำแก้ต่างนี้ก็ยังไม่สามารถลบข้อครหาเรื่องการละเลยความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในส่วนที่ส่งผลกระทบต่อความเข้าใจของผู้ชมที่มีต่อเหตุการณ์และบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด

โดยสรุป แม้ ภาพยนตร์ Argo จะประสบความสำเร็จในฐานะภาพยนตร์ที่มอบความบันเทิงและได้รับรางวัลการันตีคุณภาพ จาก 3 รางวัลออสการ์ปี 2013 - ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , บทดัดแปลงยอดเยี่ยม และ ตัดต่อยอดเยี่ยม 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญถึงข้อถกเถียงระหว่าง "ความจริงทางประวัติศาสตร์" กับ "เสรีภาพในการสร้างสรรค์" ของผู้ผลิตภาพยนตร์ ซึ่งได้จุดประกายให้เกิดการทบทวนและวิพากษ์วิจารณ์ถึงความรับผิดชอบของสื่อภาพยนตร์ในการนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สู่สาธารณชน.

ที่มา : cnnpressroom  theguardian slate

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related