svasdssvasds

การอัดเสียงที่สั่นเก้าอี้ บิล คลินตัน - เทปลับที่สะเทือนการเมืองสหรัฐฯ

การอัดเสียงที่สั่นเก้าอี้ บิล คลินตัน - เทปลับที่สะเทือนการเมืองสหรัฐฯ

ย้อนเหตุการณ์ “เทปมรณะ” การแอบบันทึกเสียง ที่เขย่าเก้าอี้ประธานาธิบดี บิล คลินตัน - การแอบบันทึกเสียงครั้งสำคัญ ที่สั่นสะเทือนการเมืองสหรัฐฯ

“เทปเสียงมรณะ”  สั่นเก้าอี้ "บิล คลินตัน" บันทึกเสียงที่เปลี่ยนโฉมการเมืองสหรัฐฯ

“I did not have sexual relations with that woman, Miss Lewinsky.”
— ประโยคที่ครั้งหนึ่งคิดว่าจะฝังเรื่องให้จบ แต่กลับกลายเป็นคำพูดที่เปลี่ยนชะตาผู้นำโลกเสรี อย่างบิล คลินตัน
 

จุดเริ่มต้น: บันทึกเสียงของเพื่อน...ไม่ใช่ศัตรู 

ในปี 1997 โมนิกา เลวินสกี้ เด็กฝึกงานวัย 22 ปีในทำเนียบขาว เริ่มบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของเธอกับประธานาธิบดีบิล คลินตัน  ให้เพื่อนร่วมงานนามว่า “ลินดา ทริปป์” ฟัง — โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า ทริปป์ไม่ได้เป็นแค่ผู้รับฟัง แต่เป็นคนอัดเสียงทุกคำพูด

ลินดา ทริปป์ใช้เครื่องบันทึกเทปเก่า ๆ แอบเก็บบทสนทนาเหล่านั้นนานนับเดือน ก่อนส่งต่อให้ทีมอัยการอิสระที่นำโดย เคน สตาร์ (Ken Starr) ซึ่งกำลังสืบสวนคดีอื่นของคลินตันอยู่ก่อนแล้ว นี่คือจุดเปลี่ยน จากคดีเล็ก กลายเป็นระเบิดการเมืองระดับชาติ
การอัดเสียงที่สั่นเก้าอี้ บิล คลินตัน - เทปลับที่สะเทือนการเมืองสหรัฐฯ Credit ภาพ AFP

เสียงที่ระเบิดทำเนียบขาว 

ในต้นปี 1998 สื่ออเมริกันเริ่มตีข่าวเรื่องความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างบิล คลินตันและโมนิกา เลวินสกี้ จากคำให้การของทริปป์และเทปเสียงจำนวนกว่า 20 ชั่วโมงที่บรรจุรายละเอียดลึกซึ้งของความสัมพันธ์ส่วนตัว โดยมี “เสื้อสีน้ำเงิน” ที่เปื้อนคราบอสุจิ — เป็นหลักฐานทางชีวภาพที่ FBI ยืนยันได้ว่าตรงกับ DNA ของคลินตัน

เมื่อบิล คลินตันถูกถามโดยนักข่าวในวันที่ 26 มกราคม 1998 เขาตอบอย่างหนักแน่นว่า: “I did not have sexual relations with that woman, Miss Lewinsky.” 

คำพูดที่ฟังดูเด็ดขาดในวันนั้น ว่าไม่เคยมีสัมพันธ์กัน แต่กลับกลายเป็น คำโกหกที่บันทึกไว้ต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศ และจะย้อนกลับมาหลอกหลอนเขาไม่กี่เดือนถัดมา

การอัดเสียงที่สั่นเก้าอี้ บิล คลินตัน - เทปลับที่สะเทือนการเมืองสหรัฐฯ Credit ภาพ AFP

จากคำโกหก...สู่กระบวนการถอดถอน 

ส.ค. 1998 บิล คลินตันยอมรับในคำให้การต่อศาลว่า เขามี “ความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม” กับโมนิกา เลวินสกี้จริง พร้อมกล่าวขอโทษต่อประชาชนในโทรทัศน์ระดับชาติ

สิ่งนี้นำไปสู่การฟ้องถอดถอน (impeachment) โดยสภาผู้แทนราษฎร ด้วยข้อหา ให้การเท็จ (perjury) และ ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม (obstruction of justice)
.
แม้สุดท้ายวุฒิสภาจะลงมติไม่ถึง 2 ใน 3 เพื่อถอดถอนคลินตันออกจากตำแหน่ง (เขารอดอย่างฉิวเฉียด) แต่ นี่คือครั้งที่สองในประวัติศาสตร์อเมริกา ที่ประธานาธิบดีถูกฟ้องถอดถอนอย่างเป็นทางการ  

เพราะ ในช่วงเวลานั้น ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 100 ปี ที่มีปธน.สหรัฐถูกถอดถอดอำนาจ (แม้สุดท้ายจะรอดจากการ impeachment ก็ตาม )

เมื่อพลังของ “เสียง” สะเทือนเก้าอี้สูงสุด 

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์ แต่คือ การเมือง, ศีลธรรม, การใช้ตำแหน่ง, และการโกหกต่อหน้าประชาชน
มันชี้ให้เห็นว่า แม้เป็นผู้นำสูงสุดของโลกเสรี แต่เมื่อหลักฐานมัดแน่น—โดยเฉพาะหลักฐานที่ “มาจากคำพูดของคุณเอง” ความจริงก็จะพังทุกอย่าง

และในยุคที่เทคโนโลยีเริ่มบันทึกทุกอย่างได้ง่ายขึ้น เสียงที่คุณคิดว่า "เป็นความลับ" อาจย้อนกลับมาเป็นมีดที่เฉือนตัวคุณเอง

บทเรียนทางการเมืองและวัฒนธรรม
เทคโนโลยี = อำนาจใหม่
เทปเสียงของลินดา ทริปป์คือ “เครื่องมือทางการเมือง” ที่พลิกกระดานได้โดยไม่ต้องใช้กองทัพหรือเงินทุน

ขณะที่ โมนิกา เลวินสกี้ถูกสังคมรุมประณาม ถูกล้อเลียนอย่างหยาบคายหลายปี เธอไม่ได้ใช้เทปเสียงเหล่านั้น แต่กลับตกเป็นจำเลยทางวัฒนธรรมแทนผู้มีอำนาจ

บทสรุปจากเทปมรณะ

เรื่องนี้คือเครื่องเตือนใจชั้นเยี่ยมว่า “เสียงของมนุษย์” อาจทรงพลังกว่ากฎหมาย หากถูกใช้ในเวลาที่ถูกต้อง — และในโลกที่การบันทึกเป็นเรื่องง่าย ทุกคำพูดอาจย้อนกลับมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์

ไม่มีอะไรส่วนตัวในโลกการเมือง - โดยเฉพาะเมื่อทุกอย่างถูกบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว

ที่มา nypost time  history economictimes

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related