แม้ว่านายกรัฐมนตรีของกัมพูชาจะถูกระบุชื่อว่า "ฮุน มาเนต" แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้เป็นพ่ออย่าง "ฮุน เซน" ยังคงมีบทบาทในแทบจะทุกย่างก้าวของการเมืองกัมพูชา
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2564 กัมพูชายังคงถูกปกครองโดยนายกรัฐมนตรีที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดอย่าง "ฮุน เซน" ที่กำลังจะมีอายุย่างเข้า 70 ปี ซึ่งได้ออกมาประกาศว่า ฮุน มาเนต ที่เป็นลูกชายคนโตและดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพในขณะนั้น จะรับช่วงต่อจากเขาในการก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พร้อมยืนยันว่าจะต้องเป็นการรับตำแหน่งผ่านกระบวนการเลือกตั้งด้วยการลงคะแนนเสียงของคนทั้งประเทศ
เมื่อสิ้นสุดการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2566 ฮุน มาเนต บุตรชายคนโตของฮุน เซน ก็เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ หลังพรรคประชาชนกัมพูชาของเขาคว้าชัยชนะถล่มทลาย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าการเลือกตั้งดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย แต่เป็นไปตามแผนการสืบทอดราชวงศ์ที่วางเอาไว้โดยฮุนเซนเป็นเวลานานหลายปี
หนึ่งในคำวิจารณ์ระบุว่า ฮุน มาเนต ได้ก้าวเข้ามายืนในตำแหน่งที่เคยเป็นของบิดา ไม่ใช่จากการเลือกตั้ง แต่มาจากวิธีที่ฮุน เซน ใช้เพื่อปราบปรามการวิพากษ์วิจารณ์และการแสดงความเห็นต่างทุกรูปแบบ รวมถึงการสั่งจำคุกนักเคลื่อนไหวและฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง สั่งปิดหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุ และการควบคุมดูแลโซเชียลมีเดีย เพื่อไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลแง่ลบหรือคำวิจารณ์ที่ส่งผลต่อลูกชายและตัวเขาเอง
แม้จะส่งต่อตำแหน่งให้ลูกชายแล้ว ฮุน เซน ในวัย 71 ปี ยังคงประกาศว่า เขาจะยังไม่ขยับออกห่างจากอำนาจ และจะดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งอื่นๆ ต่อไปอีกอย่างน้อย 10 ปี
ในสุนทรพจน์ของฮุน เซน หลังจากประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาสัญญาว่าจะไม่แทรกแซงรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยลูกชายของเขา แต่ก็ยังเตือนชาวกัมพูชาด้วยว่า เขาสามารถกลับมากุมอำนาจเมื่อไหร่ก็ได้หากจำเป็น เพราะเขาไม่อยากให้ประเทศนี้ตกอยู่ในความวุ่นวาย
หลังจากนั้นการเมืองภายในของกัมพูชาก็ถูกคนภายนอกมองว่า แทบไม่ต่างจาก 'ธุรกิจครอบครัว' ของตระกูลฮุน เพราะแม้อดีตนายกรัฐมนตรีฮุนเซนจะแสดงออกว่าตนเองไม่ได้กุมบังเหียนอำนาจเพียงลำพังอีกต่อไป และส่งต่อการบริหารประเทศให้กับคนรุ่นลูกหลานไปแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าตัวตนและความคิดเห็นของเขายังมีบทบาทที่แข็งแกร่งอย่างมากต่อทิศทางการตัดสินใจที่สำคัญในการเมืองกัมพูชา
แม้ ฮุน มาเนต จะได้รับการเลี้ยงดูและฝึกฝนอย่างดีสำหรับการเติบโตมาเป็นผู้นำ แต่นั่นก็ทำให้เส้นทางสู่อำนาจของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผู้เป็นบิดาซึ่งปกครองกัมพูชาด้วยความเข้มแข็งมานานเกือบสี่ทศวรรษ ผ่านการเข้าร่วมกลุ่มเขมรแดงตั้งแต่อายุได้ 18 ปี ไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นผู้บัญชาการทหารระดับกลาง ก่อนจะหลบหนีไปยังเวียดนามเพื่อหลีกเลี่ยงการกวาดล้าง จนกระทั่งเวียดนามรุกรานและขับไล่เขมรแดงออกไป เขาก็ได้ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่อายุเพียง 26 ปี และปูทางไปสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่กุมอำนาจยาวนานที่สุด
ขณะที่ ฮุน มาเนต ในวัย 12 ปี ได้เข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในกรุงพนมเปญ และเข้าร่วมกองทัพกัมพูชาในปี 2538 ก่อนจะถูกส่งไปยังโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ของสหรัฐฯ และเป็นชาวกัมพูชาคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากที่นั่นในปี 2542
ความแตกต่างนี้ได้กลายเป็นความหวังเล็กๆ ของกลุ่มคนที่ไม่ได้สนับสนุนฮุน เซน และคาดว่าความเป็นคนรุ่นใหม่ของฮุน มาเนต จะทำให้เขาเข้าใจในด้านสิทธิมนุษยชนมากกว่าผู้เป็นบิดา หรือสามารถบริหารประเทศในทิศทางที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น เข้าหาพันธมิตรชาติตะวันตกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากความคิดเห็นของนักลงทุนตะวันตกในกัมพูชาบางส่วนในขณะนั้น มองว่า นับตั้งแต่ฮุน เซน ประกาศลาออก จนฮุน มาเนต เข้าบริหารประเทศ ก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก พวกเขาบอกด้วยว่า ฮุนเซนจะยังคงเป็นศูนย์กลางอำนาจที่แท้จริงในกัมพูชา และการถ่ายโอนอำนาจอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ 'ฮุนเซนไม่อยู่อีกต่อไป' ซึ่งจะเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับฮุน มาเนต พรรครัฐบาล และความมั่นคงของกัมพูชา