ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลง กองกำลังสหรัฐโจมตีฐานนิวเคลียร์อิหร่าน“ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง” โครงการนิวเคลียร์รัฐบาลเตหะรานถูกทำลายลงแล้ว
เสียงระเบิดดังกึกก้องทั่วตะวันออกกลาง ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศความสำเร็จของสหรัฐฯ ในการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านถึง 3 แห่ง พร้อมเตือนว่า หากอิหร่านไม่เลือกสันติภาพ การโจมตีครั้งต่อไป “จะรุนแรงกว่านี้มาก”
ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านปะทุขึ้นอีกครั้ง นับตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน เมื่ออิสราเอลเปิดฉากโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน จุดชนวนให้เกิดการโต้กลับอย่างหนักหน่วงจากทั้งสองฝ่าย ภาพการโจมตีที่ยืดเยื้อกว่า 1 สัปดาห์ กลายเป็นฉากหลังของ
ขณะที่เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่านเผชิญกลุ่มควันและเสียงระเบิดอย่างต่อเนื่อง อิสราเอลอ้างว่าสามารถทำลายเป้าหมายทางทหารสำคัญในพื้นที่ได้แล้ว
ผ่านโพสต์ใน Truth Social ทรัมป์เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ได้โจมตีสำเร็จที่โฟร์โดว์, นาทานซ์ และอิสฟาฮาน โดยเครื่องบินทั้งหมดกลับสู่ฐานอย่างปลอดภัย พร้อมกล่าวชื่นชนนักรบอเมริกันว่า “ไม่มีกองกำลังใดในโลกทำได้เช่นนี้” พร้อมทิ้งท้ายด้วยข้อความชวนสะดุ้ง: “ถึงเวลาแห่งสันติภาพแล้ว”
เขายังเตรียมแถลงต่อประชาชนจากทำเนียบขาว เวลา 22.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยระบุว่านี่คือ “ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์” สำหรับทั้งสหรัฐฯ อิสราเอล และโลก พร้อมเรียกร้องให้อิหร่าน “ยุติสงครามทันที”
ด้านอิหร่านรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 430 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 3,500 คน ขณะที่อิสราเอลระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีของอิหร่านอย่างน้อย 25 คน
สื่อรัฐอิหร่านยืนยันว่าศูนย์ฟอร์โดว์ถูกโจมตีโดย “ศัตรู” แต่หน่วยงานทางการยังไม่ออกมาเปิดเผยรายละเอียดของความเสียหาย
นักข่าวจากวอชิงตัน ดี.ซี. ชี้ว่า การโจมตีครั้งนี้สะท้อนแนวทางการใช้นโยบายต่างประเทศของทรัมป์ที่เน้นการลงมืออย่างเฉียบขาด ขณะที่นักข่าวจากเทลอาวีฟวิเคราะห์ว่า “นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ” ของสงคราม และความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล
ย้อนกลับไปเพียง 2 วันก่อนหน้า ทรัมป์ยังกล่าวว่า เขาจะตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับอิสราเอลในปฏิบัติการโจมตีอิหร่านหรือไม่ภายใน 2 สัปดาห์ โดยให้เหตุผลว่า “ยังมีโอกาสเจรจาสันติภาพอยู่”
ก่อนหน้าการโจมตี มีรายงานว่าทางการสหรัฐฯ ได้เคลื่อนย้ายเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ไปยังเกาะกวม แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการเคลื่อนย้ายดังกล่าวเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในตะวันออกกลางหรือไม่ แต่ก็เพิ่มแรงกดดันต่อความขัดแย้งในภูมิภาคอย่างเห็นได้ชัด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง