svasdssvasds

รองเท้ากันระเบิด ป้องกันอันตรายได้แค่ไหน ? มีนวัตกรรมใดบ้างตรวจจับทุ่นระเบิด

รองเท้ากันระเบิด ป้องกันอันตรายได้แค่ไหน ? มีนวัตกรรมใดบ้างตรวจจับทุ่นระเบิด

ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ยังคงเป็นสิ่งที่อันตราย ไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามฉับพลันต่อทหารในสมรภูมิ แต่ยังเป็น สร้างความทุกข์ทรมานแก่พลเรือนยาวนานหลายทศวรรษหลังสงครามสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ จึงมี สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมที่สร้างขึ้นมา เพื่อตรวจค้น ตรวจจับ ทุ่นระเบิดเหล่านี้ รวมถึง บรรเทาความรุนแรง

ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ยังคงเป็นสิ่งที่อันตราย ที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนดินทั่วโลก ไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามฉับพลันต่อทหารในสมรภูมิ แต่ยังเป็น สร้างความทุกข์ทรมานแก่พลเรือนยาวนานหลายทศวรรษหลังสงครามสิ้นสุด 

ด้วยเหตุนี้ จึงมี สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมที่สร้างขึ้นมา เพื่อตรวจค้น ตรวจจับ ทุ่นระเบิดเหล่านี้ , รวมถึง บรรเทาความรุนแรง ความเจ็บปวดจากอันตรายเมื่อต้องพลาดไปเจอกับการเหยียบกับระเบิด ดังนั้น แนวคิด "รองเท้ากันแรงระเบิด" จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะความหวังที่จะปกป้องชีวิตและอวัยวะ แต่ในความเป็นจริง นวัตกรรมชิ้นนี้ อาจจะมีข้อกังขาอยู่

"รองเท้ากันระเบิด" กับแนวคิดที่มา 

แนวคิดเบื้องหลังรองเท้าป้องกันทุ่นระเบิดนั้นดูเรียบง่าย น่าดึงดูดใจ โดยออกแบบมาเพื่อ เพิ่มระยะห่าง (Standoff) ระหว่างฝ่าเท้ากับจุดระเบิดให้มากที่สุดผ่านพื้นรองเท้าที่หนาเป็นพิเศษ หรือใช้พื้นรองเท้ารูปทรงตัววี (V-shape) เพื่อ เบี่ยงเบนแรงระเบิด (Deflect the Blast) ให้กระจายออกไปด้านข้าง

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและองค์กรสากลต่างไม่แนะนำให้ใช้งานอุปกรณ์ชนิดนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการ :

สร้างความรู้สึกปลอดภัยที่ผิดๆ: นี่คืออันตรายที่สุด เพราะอาจทำให้ผู้สวมใส่ประมาทและลดความระมัดระวังลง ซึ่งในพื้นที่อันตราย ความรอบคอบคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

Credit ภาพ REUTERS

ประสิทธิภาพที่จำกัด: รองเท้าเหล่านี้อาจช่วยลดความเสียหายจากทุ่นระเบิดขนาดเล็กมากได้บ้าง แต่ไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิงในการป้องกันทุ่นระเบิดสังหารบุคคลส่วนใหญ่ ซึ่งมีอานุภาพรุนแรงพอที่จะทำให้ขาขาดหรือเสียชีวิตได้

ยังคงบาดเจ็บสาหัส: แม้จะช่วยลดแรงกระแทกที่เท้าข้างที่เหยียบได้บ้าง แต่คลื่นแรงอัด (Blast Wave) ยังคงสามารถเคลื่อนผ่านร่างกาย สร้างความเสียหายรุนแรงต่ออวัยวะภายในได้ ขณะที่ขาอีกข้างและลำตัวยังคงเปิดรับแรงระเบิดและสะเก็ดระเบิดอย่างเต็มที่

เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว: น้ำหนักที่มากและความเทอะทะ ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างยากลำบาก เพิ่มความเสี่ยงในการสะดุดล้ม ซึ่งอาจเป็นหายนะในสนามทุ่นระเบิด

มาตรฐานความปลอดภัยที่แท้จริงของหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดจึงไม่ได้พึ่งพารองเท้าวิเศษ แต่เน้นที่ วินัยและกระบวนการที่เข้มงวด เจ้าหน้าที่จะใช้เกราะป้องกันลำตัวและหมวกกันสะเก็ดระเบิด ควบคู่กับเครื่องมือด้ามยาวเพื่อรักษาระยะห่าง และที่สำคัญที่สุดคือหลักการ "ห้ามเหยียบ" โดยจะก้าวเท้าไปเฉพาะในพื้นที่ที่ตรวจสอบแล้วว่าปลอดภัย 100% เท่านั้น

เจ้าหน้าที่ป้องกันตัวอย่างไร?

มาตรฐานความปลอดภัยที่แท้จริงของหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิด (Humanitarian Demining) ไม่ได้พึ่งพารองเท้าวิเศษ แต่เน้นที่ กระบวนการและวินัยที่เข้มงวด เป็นหัวใจสำคัญ:

การหลีกเลี่ยง: หลักการที่สำคัญที่สุดคือ "ห้ามเหยียบ" เจ้าหน้าที่จะใช้เครื่องมือค่อยๆ สำรวจและพรวนดินไปข้างหน้าทีละเล็กทีละน้อย และจะก้าวเท้าไปเฉพาะในพื้นที่ที่ตรวจสอบแล้วว่าปลอดภัย 100% เท่านั้น
อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) : เจ้าหน้าที่จะสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันที่จำเป็น เช่น เกราะป้องกันช่วงลำตัวและหน้าอก (Protective Vest/Apron) และหมวกพร้อมกระบังหน้าป้องกันสะเก็ดระเบิด (Visor) ซึ่งเน้นป้องกันอวัยวะสำคัญคือลำตัวและศีรษะ
เครื่องมือ: ใช้เครื่องมือตรวจจับและเครื่องมือขุดคุ้ยที่มีด้ามยาว เพื่อให้ร่างกายอยู่ห่างจากจุดที่ต้องสงสัยให้มากที่สุด

Credit ภาพ REUTERS

จาก "การป้องกัน" สู่ "การตรวจจับ" ทุ่นระเบิด

ขณะที่แนวคิดเรื่องรองเท้ากันระเบิดได้พิสูจน์แล้วว่ามีข้อบกพร่อง และทั่วโลกได้หันไปทุ่มเทการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจจับและเก็บกู้ที่ล้ำสมัย ซึ่งกำลังเข้ามาปฏิวัติภารกิจที่อันตรายนี้ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีอื่นๆ ในการตรวจจับทุ่นระเบิด

ระบบเซ็นเซอร์คู่ (Dual-Sensor): การผสานเครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detector) เข้ากับเรดาร์เจาะดิน (GPR) ทำให้อุปกรณ์สามารถ "มองเห็น" ได้ทั้งวัตถุที่เป็นโลหะและอโลหะใต้พื้นดิน ลดการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดได้อย่างมหาศาล
เทคโนโลยีเรโซแนนซ์แม่เหล็กนิวเคลียร์ (NMR): เปรียบเสมือนการตรวจหา "ลายนิ้วมือทางเคมี" ของวัตถุระเบิดโดยตรง เทคโนโลยีนี้มีความแม่นยำสูง สามารถแยกแยะทุ่นระเบิดออกจากเศษโลหะอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน
โดรนและปัญญาประดิษฐ์ (Drones & AI): ฝูงโดรนสามารถบินสำรวจพื้นที่เสี่ยงได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย จากนั้น AI จะทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพถ่ายและข้อมูลจากเซ็นเซอร์เพื่อระบุตำแหน่งและชนิดของทุ่นระเบิด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อมนุษย์ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หุ่นยนต์เก็บกู้ (Robotics): การใช้ยานพาหนะและหุ่นยนต์ควบคุมระยะไกลเข้าไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่เสี่ยง คือหัวใจสำคัญของการนำมนุษย์ออกจากวงจรความเสี่ยงโดยตรง

Credit ภาพ act.nato.int

กรณีศึกษาชายแดนไทย-กัมพูชา 

ปัญหาทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชายังคงเป็นปัญหารากลึกและมีความซับซ้อนสูง การตรวจจับและเก็บกู้ในพื้นที่นี้ทำได้ยากเป็นพิเศษด้วยปัจจัยหลายประการที่ท้าทายเทคโนโลยีอย่างยิ่ง 

ทุ่นระเบิดอโลหะ (Low-Metal Mines): ในอดีต มีการใช้ทุ่นระเบิดที่มีส่วนประกอบของโลหะน้อยมากหรือทำจากพลาสติกเป็นจำนวนมาก ทำให้เครื่องตรวจจับโลหะแบบดั้งเดิมแทบจะไร้ประโยชน์

สภาพภูมิประเทศที่ซับซ้อน: พื้นที่เป็นป่าทึบ ดินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากฤดูฝนและน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำงานของเรดาร์เจาะดิน (GPR) และการสำรวจทางอากาศ

การวางที่ไม่เป็นระบบ: ทุ่นระเบิดจำนวนมากถูกวางอย่างกระจัดกระจายโดยไม่มีการทำแผนที่หรือบันทึกตำแหน่งไว้ ต่างจากสนามทุ่นระเบิดตามแบบแผนทางทหาร ทำให้การค้นหาเป็นไปอย่างยากลำบากและต้องใช้เวลามหาศาล นอกจากนี้ ทุ่นระเบิดที่ฝังอยู่ใต้ดินนานหลายสิบปีเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้ "สัญญาณ" ที่ปล่อยออกมาจางลงและตรวจจับได้ยากขึ้น

ความท้าทายเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า การพึ่งพาเพียงอุปกรณ์ป้องกันตัวพื้นฐานอย่างรองเท้ากันระเบิดนั้นไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องอาศัยนวัตกรรมการตรวจจับขั้นสูงอย่างระบบเซ็นเซอร์คู่, NMR, หรือ AI ควบคู่ไปกับการวางแผนอย่างเป็นระบบเท่านั้น จึงจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

 การลงทุนเพื่อปกป้องชีวิตผู้คนจากสงครามที่จบไปแล้ว ไม่ใช่แค่การพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี แต่คือการลงทุนในมนุษยธรรม เพื่อรับประกันว่าผืนดินที่เคยเป็นแดนสังหารจะกลับมาเป็นพื้นที่แห่งชีวิตได้อย่างแท้จริงอีกครั้ง

ที่มา : reuters  Nordic Defence Review  popularmechanics  nolandmines

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related