พาย้อนดูเหตุการณ์ เมื่อความเชื่อ ศรัทธา นำทางสู่อันตราย โศกนาฏกรรม โจนส์ทาวน์ - โอมชินริเกียว 2 ตัวอย่างเหตุการณ์หายนะครั้งสำคัญ
ศรัทธาและศาสนาคือสองสิ่งที่มอบความหวัง นำทาง และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้แก่มนุษยชาติมานับพันปี แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกบทเรียนอันเจ็บปวดไว้เช่นกันว่า หากศรัทธาถูกบิดเบือนและตกไปอยู่ในมือของผู้นำที่วิปริต มันจะแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธที่อันตรายที่สุดได้อย่างไร โศกนาฏกรรมที่ โจนส์ทาวน์ (Jonestown) และการก่อการร้ายโดยลัทธิ โอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo) คือสองกรณีศึกษาที่ขั้วตรงข้ามกัน แต่กลับสะท้อนภาพเดียวกันอย่างน่าสะพรึงกลัว นั่นคือการใช้ความเชื่อเป็นเครื่องมือล้างสมอง ควบคุม และนำพามนุษย์ไปสู่จุดจบที่น่าสลดใจ
ในช่วงทศวรรษ 1950 ท่ามกลางสังคมอเมริกันที่ยังคุกรุ่นด้วยปัญหาการเหยียดผิว จิม โจนส์ (Jim Jones) ได้ปรากฏตัวขึ้นในฐานะนักเทศน์ผู้มีวาทศิลป์อันน่าหลงใหล เขาไม่ได้ขายแค่คำสอนทางศาสนา แต่ขายความหวังและความเท่าเทียม ลัทธิ "พีเพิลส์เทมเพิล" (Peoples Temple) ของเขาอ้าแขนรับผู้คนทุกสีผิว สร้างชุมชนที่ดูเหมือนจะเป็นดินแดนในอุดมคติ ช่วยเหลือคนยากไร้ จัดหาที่อยู่และอาหาร ทำให้ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่รู้สึกว่าถูกสังคมทอดทิ้ง มอบทั้งกาย ใจ และทรัพย์สินให้แก่เขาด้วยความศรัทธา
เบื้องหลังภาพลักษณ์ของนักบุญ จิม โจนส์ ค่อยๆ สร้างอาณาจักรแห่งความหวาดระแวงขึ้น เขาพร่ำสอนถึงภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์และโลกภายนอกที่เลวร้าย ก่อนจะนำพาสาวกเกือบพันคนไปสร้างเมือง "โจนส์ทาวน์" ในป่าลึกของประเทศกายอานา ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบ
เมืองในอุดมคติที่เขาเคยสัญญาไว้ แปรเปลี่ยนสภาพเป็นค่ายกักกันที่ตัดขาดจากโลกภายนอก มีการวางกฎเกณฑ์สุดโต่งเพื่อทำลายความเป็นปัจเจกและครอบครัว มีการ "ซ้อมฆ่าตัวตายหมู่" หรือที่เรียกว่า "White Night" เพื่อทดสอบความภักดี ความศรัทธาที่เคยเป็นแสงสว่างนำทาง บัดนี้ได้ถูกควบคุมและบิดเบือนจนกลายเป็นเครื่องมือในการจองจำ
จุดแตกหักมาถึงในวันที่ 18 พฤศจิกายน 1978 เมื่อสมาชิกรัฐสภา ลีโอ ไรอัน (Leo Ryan) เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและถูกสังหารโดยสาวกของโจนส์ การกระทำนั้นเปรียบเสมือนการจุดชนวนระเบิดเวลาที่นับถอยหลังมานาน ในคืนเดียวกันนั้นเอง จิม โจนส์ ได้ประกาศรวมพลครั้งสุดท้าย เขากล่าวว่าโลกภายนอกกำลังจะมาทำลายพวกเขา และทางรอดเดียวคือการ "เดินทางไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า" ผ่านการฆ่าตัวตายหมู่เชิงปฏิวัติ
ภาพของพ่อแม่ที่ป้อนน้ำผลไม้ผสมไซยาไนด์ให้ลูกๆ ดื่ม ก่อนที่ตัวเองจะดื่มตาม คือภาพสะท้อนอันน่าสยดสยองของศรัทธาที่ถูกทำลายล้างโดยสิ้นเชิง มีผู้เสียชีวิตกว่า 900 คนในคืนนั้น รวมถึงจิม โจนส์ เอง โจนส์ทาวน์ได้ทิ้งมรดกแห่งความเจ็บปวดไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า เมื่อใดที่มนุษย์ยอมมอบอำนาจในการคิดและตัดสินใจให้ผู้อื่นโดยสมบูรณ์ ผลลัพธ์ของมันอาจน่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการได้
ในอีกฟากหนึ่งของโลก ณ ประเทศญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1980 สังคมที่เจริญด้วยวัตถุแต่กลับมีช่องว่างทางจิตใจ ได้กลายเป็นพื้นที่เพาะเชื้อให้กับลัทธิ โอมชินริเกียว ซึ่งก่อตั้งโดย โชโกะ อาซาฮาระ (Shoko Asahara) ชายผู้พิการทางสายตาซึ่งอ้างตนว่าเป็นผู้รู้แจ้ง
อาซาฮาระผสมผสานความเชื่อจากพุทธศาสนานิกายทิเบต ศาสนาฮินดู และคำทำนายวันสิ้นโลกจากคริสต์ศาสนาได้อย่างแยบยล เขาสร้างคำสอนที่ดึงดูดกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาสูง ทั้งวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์ ผู้ซึ่งรู้สึกแปลกแยกจากสังคมบริโภคนิยม อาซาฮาระมอบ "เป้าหมายที่สูงกว่า" ให้กับพวกเขา นั่นคือการเป็นผู้รอดชีวิตจากสงครามอาร์มาเก็ดดอนที่กำลังจะมาถึง
สิ่งที่เริ่มต้นจากการเป็นสำนักโยคะและสมาธิ ได้แปรสภาพเป็นองค์กรก่อการร้ายอย่างเต็มรูปแบบ โอมชินริเกียวสร้างโลกทัศน์แบบ "เรา vs เขา" โดยมองว่าโลกภายนอกนั้นชั่วร้ายและจำเป็นต้องถูกทำลาย ลัทธิเริ่มก่ออาชญากรรมที่โหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การลักพาตัวและสังหารผู้ที่เห็นต่าง ไปจนถึงการใช้ความรู้ของสาวกนักวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาอาวุธเคมีและชีวภาพที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอย่าง แก๊สพิษซาริน (Sarin Gas)
จุดไคลแม็กซ์ของความคลั่งศาสนานี้เกิดขึ้นในวันที่ 20 มีนาคม 1995 เมื่อสมาชิกลัทธิได้ปล่อยแก๊สพิษซารินในระบบรถไฟใต้ดินของกรุงโตเกียวในช่วงเวลาเร่งด่วน การโจมตีที่ไร้ซึ่งการเลือกเป้านี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน และบาดเจ็บอีกหลายพันคน มันคือการประกาศสงครามกับสังคมที่พวกเขาปฏิเสธ และเพื่อเร่งวันสิ้นโลกตามคำทำนายของผู้นำลัทธิ
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เปิดโปงด้านมืดของโอมชินริเกียว แต่ยังแสดงให้เห็นว่าความเชื่อที่ถูกชี้นำไปในทางที่ผิด สามารถเปลี่ยนกลุ่มปัญญาชนให้กลายเป็นผู้ก่อการร้ายเลือดเย็นได้อย่างไร
แม้เหตุการณ์ โจนส์ทาวน์และโอมชินริเกียวจะเกิดขึ้นในบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ในโลกของอดีต แต่แก่นกลางของโศกนาฏกรรมทั้งสองกลับเหมือนกันอย่างน่าใจหาย นั่นคือ การมีผู้นำที่มีเสน่ห์ดึงดูด (Charismatic Leader) ซึ่งอ้างตนว่าผูกขาดสัจธรรม, การสร้างโลกทัศน์แบบทวิภาวะ (Us vs. Them) ที่โลกภายนอกเต็มไปด้วยศัตรู, และ การเรียกร้องความภักดีอย่างสมบูรณ์ จนสาวกยอมละทิ้งการคิดเชิงวิพากษ์และสามัญสำนึก
เรื่องราวของพวกเขายังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังว่า ศรัทธาที่ปราศจากปัญญาและการไตร่ตรองนั้นเปราะบางและอันตราย มันสามารถนำทางเราไปสู่การปลดปล่อยตนเองได้ฉันใด ก็สามารถนำทางเราไปสู่การทำลายล้างได้ฉันนั้น บทเรียนจากทั้งสองเหตุการณ์จึงไม่ได้อยู่แค่ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ยังคงเป็นคำถามสำคัญสำหรับยุคปัจจุบัน ว่าเราจะสร้างเกราะป้องกันทางปัญญาอย่างไร เพื่อไม่ให้ความเชื่ออันบริสุทธิ์ถูกใครบางคนบิดเบือนและนำไปใช้ในทางที่ผิดอีกต่อไป.
ที่มา : theguardian bbc kyodonews