SHORT CUT
Politics is Theatre: ทำไม ‘การเมือง’ จึงเปรียบเสมือนละครที่สมจริง และเหตุใดประชาชนจึงเลือกนักแสดงที่ดูจริงใจที่สุด
เวลาที่เราพูดถึง “การเมือง” คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการเลือกตั้ง การออกกฎหมาย หรือการบริหารประเทศในเชิงระบบ เรามักเชื่อว่าการเมืองคือเรื่องของเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ชัดเจน
แต่หากมองลึกลงไป การเมืองในทุกยุคสมัยยังเต็มไปด้วยการสร้างภาพ สัญลักษณ์ และการเล่าเรื่องเพื่อโน้มน้าวใจผู้คน
ในหลายเหตุการณ์สำคัญของโลก เราจะเห็นว่า นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพียงผู้ที่มีนโยบายดี แต่คือผู้ที่ทำให้ประชาชน “เชื่อ” ได้ว่าพวกเขาคือผู้กอบกู้ที่จะนำพาสังคมไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ตัวละครทางการเมืองเหล่านี้จึงไม่ต่างจาก “นักแสดงหลัก” บนเวทีที่ผู้คนจับตามอง
แนวคิดนี้ได้รับการอธิบายอย่างเป็นเหตุผลโดย เจฟฟรีย์ ซี. อเล็กซานเดอร์ (Jeffrey C. Alexander) ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ผู้เสนอว่าการเมืองควรถูกทำความเข้าใจเหมือนกับการละครหรือการแสดง เพราะนักการเมืองต้องสร้างภาพลักษณ์และเล่าเรื่องให้สอดคล้องกับตำนาน ความเชื่อ และความคาดหวังที่สังคมมีอยู่
เจฟฟรีย์ เปรียบการหาเสียงเหมือน “ค่ายผลิตภาพยนตร์” ทุกวันทีมงานต้องผลิต “ฉาก” และ “เรื่องเล่า” ผ่านทีวี เว็บไซต์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อทำให้ผู้สมัครเป็นตัวแทนของความฝันร่วมในสังคม ไม่ต่างจากการทำหนังที่มีผู้กำกับ, คนเขียนบท ,และนักแสดงนำ จุดสำคัญคือการสร้างภาพให้ผู้ชมเชื่อว่า “นี่คือความจริง” แม้รู้ว่ามีการจัดฉากอยู่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ตาม การสร้างภาพในแคมเปญไม่ได้หยุดแค่การผลิต เพราะยังต้องผ่าน “นักวิจารณ์” อย่างสื่อมวลชน บล็อกเกอร์ หรือรายการทีวีที่คอยเปิดโปงว่าเบื้องหลังภาพนั้นคือการจัดฉาก สิ่งนี้ทำให้ผู้สมัครต้องเผชิญกับความท้าทายใหญ่
แม้สังคมปัจจุบันจะทันสมัยและมีเหตุผลเพียงใด มนุษย์ก็ยังคงโหยหาฮีโร่และตำนานทางการเมือง นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จต้องสามารถแสดงบทบาท “ขี่ม้าขาว” ที่มอบความหวังและความมั่นใจให้ประชาชน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บารัค โอบามา ในปี 2008 ที่สร้างภาพลักษณ์ผู้กอบกู้ประเทศจากยุคบุช และเชื่อมโยงตัวเองเหมือน มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการรวมใจของอเมริกา
โอบามาในปี 2008 สามารถสร้างภาพลักษณ์แบบ “วีรบุรุษกอบกู้ชาติ” ได้สำเร็จ และบอกคนอเมริกันว่าเขาจะนำประเทศออกจากความเสียหายยุคบุช สัญลักษณ์เหล่านี้ถูกส่งผ่านสื่อราวกับการผลิตภาพยนตร์ ทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่ใหญ่กว่าชีวิตจริง แต่เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่ง เขากลับวางบทบาท “นักพูดผู้สร้างแรงบันดาลใจ” ลง และเลือกที่จะทำงานอย่างผู้บริหารที่มุ่งเน้นนโยบายจริงจัง
โอบามาเชื่อว่าผลงานและกฎหมายที่ผ่านจะพูดแทนตัวเอง แต่ ผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่คือความผิดพลาด เพราะเขาสูญเสีย “พลังการแสดง” ที่เคยทำให้ประชาชนอินและเชื่อมโยง ขณะที่เขาหันไปนั่งทำงานในทำเนียบขาว ทำใฟ้พรรครีพับลิกันกลับเข้ามายึดเวทีทางสัญลักษณ์แทน ใช้การเล่าเรื่องและภาพลักษณ์เพื่อโจมตีและสร้างพลังทางการเมืองใหม่ ทำให้โอบามาดูอ่อนแอและสูญเสียการควบคุมเรื่องเล่า
กล่าวคือ นักการเมืองที่สามารถใช้ วาทศิลป์และการแสดงเชิงสัญลักษณ์ มักมีพลังทางการเมืองมากกว่าคนที่ทำงานเงียบ ๆ แบบผู้บริหารทั่วไป เพราะประชาชนไม่ได้สนใจแค่เนื้อหานโยบาย แต่ยังต้องการ “เรื่องเล่า” และ “ภาพแทนของความหวัง” อยู่ตลอดเวลา
การหาเสียงเหมือนการผลิตภาพยนตร์ ทุกคำพูด ทุกภาพล้วนถูกสร้างขึ้น แต่ผู้สมัครที่จะชนะคือคนที่ทำให้ประชาชนเชื่อว่าการแสดงนั้น “จริงใจ” ไม่ใช่แค่จัดฉาก ตรงกันข้าม หากภาพลักษณ์ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ง ก็จะพังอย่างรวดเร็ว เพราะประชาธิปไตยต้องการคุณค่าของความซื่อสัตย์ โปร่งใส และอิสระ
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ประชาชนสายกลางคือกลุ่มที่ตัดสินผลการเลือกตั้ง และสิ่งที่พวกเขาตอบสนองมากที่สุดคือ “การแสดงออก” และ “สัญลักษณ์” มากกว่ารายละเอียดนโยบาย หากผู้นำสามารถแสดงบทบาทที่จริงใจ เชื่อมโยงกับความหวัง ความกลัว และตำนานของสังคมได้ เขาก็จะกลายเป็นตัวแทนของประชาชน และนี่คือการแสดงทางการเมืองอย่างแท้จริง
ที่มา : yale
ข่าวที่เกี่ยวข้อง