svasdssvasds

Politics is Theatre แนวคิดการเมืองคือละครเวทีที่ต้องสมจริง

Politics is Theatre แนวคิดการเมืองคือละครเวทีที่ต้องสมจริง

Politics is Theatre: ทำไม ‘การเมือง’ จึงเปรียบเสมือนละครที่สมจริง และเหตุใดประชาชนจึงเลือกนักแสดงที่ดูจริงใจที่สุด

SHORT CUT

  • นักการเมืองไม่ใช่เพียงผู้กำหนดนโยบาย แต่เป็น “นักแสดง” ที่ต้องสร้างภาพลักษณ์ สัญลักษณ์ และเรื่องเล่าเพื่อให้ประชาชนเชื่อมโยงและศรัทธา เหมือนการผลิตภาพยนตร์ที่ทุกฉากทุกคำพูดถูกจัดวางไว้อย่างมีเจตนา
  • แม้ประชาชนรู้ดีว่าการเมืองมีการสร้างภาพ แต่สิ่งที่แยกนักการเมืองที่ “ชนะใจ” ออกจากคนที่ล้มเหลวคือความรู้สึกว่า “จริงใจ” การสื่อสารที่ทำให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นของแท้ ไม่ใช่เสแสร้ง คือกุญแจสำคัญ
  • ผู้มีอำนาจทางการเมืองมากที่สุดคือคนที่ควบคุมเรื่องเล่าและภาพลักษณ์ได้ เช่น โอบามาที่เคยใช้วาทศิลป์และภาพแทนความหวังจนกลายเป็น “ฮีโร่ทางการเมือง” เพราะประชาชนไม่ได้ตอบสนองต่อรายละเอียดนโยบายมากเท่ากับ “เรื่องเล่า” ที่สะท้อนความหวัง ความกลัว และตำนานร่วมของสังคม

Politics is Theatre: ทำไม ‘การเมือง’ จึงเปรียบเสมือนละครที่สมจริง และเหตุใดประชาชนจึงเลือกนักแสดงที่ดูจริงใจที่สุด

เวลาที่เราพูดถึง “การเมือง” คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการเลือกตั้ง การออกกฎหมาย หรือการบริหารประเทศในเชิงระบบ เรามักเชื่อว่าการเมืองคือเรื่องของเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ชัดเจน

แต่หากมองลึกลงไป การเมืองในทุกยุคสมัยยังเต็มไปด้วยการสร้างภาพ สัญลักษณ์ และการเล่าเรื่องเพื่อโน้มน้าวใจผู้คน

ในหลายเหตุการณ์สำคัญของโลก เราจะเห็นว่า นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพียงผู้ที่มีนโยบายดี แต่คือผู้ที่ทำให้ประชาชน “เชื่อ” ได้ว่าพวกเขาคือผู้กอบกู้ที่จะนำพาสังคมไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ตัวละครทางการเมืองเหล่านี้จึงไม่ต่างจาก “นักแสดงหลัก” บนเวทีที่ผู้คนจับตามอง

แนวคิดนี้ได้รับการอธิบายอย่างเป็นเหตุผลโดย เจฟฟรีย์ ซี. อเล็กซานเดอร์ (Jeffrey C. Alexander) ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ผู้เสนอว่าการเมืองควรถูกทำความเข้าใจเหมือนกับการละครหรือการแสดง เพราะนักการเมืองต้องสร้างภาพลักษณ์และเล่าเรื่องให้สอดคล้องกับตำนาน ความเชื่อ และความคาดหวังที่สังคมมีอยู่

Politics is Theatre แนวคิดการเมืองคือละครเวทีที่ต้องสมจริง

‘พรรคการเมือง’ เปรียบเสมือน ‘ค่ายภาพยนตร์’

เจฟฟรีย์ เปรียบการหาเสียงเหมือน “ค่ายผลิตภาพยนตร์” ทุกวันทีมงานต้องผลิต “ฉาก” และ “เรื่องเล่า” ผ่านทีวี เว็บไซต์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อทำให้ผู้สมัครเป็นตัวแทนของความฝันร่วมในสังคม ไม่ต่างจากการทำหนังที่มีผู้กำกับ, คนเขียนบท ,และนักแสดงนำ จุดสำคัญคือการสร้างภาพให้ผู้ชมเชื่อว่า “นี่คือความจริง” แม้รู้ว่ามีการจัดฉากอยู่เบื้องหลัง

อย่างไรก็ตาม การสร้างภาพในแคมเปญไม่ได้หยุดแค่การผลิต เพราะยังต้องผ่าน “นักวิจารณ์” อย่างสื่อมวลชน บล็อกเกอร์ หรือรายการทีวีที่คอยเปิดโปงว่าเบื้องหลังภาพนั้นคือการจัดฉาก สิ่งนี้ทำให้ผู้สมัครต้องเผชิญกับความท้าทายใหญ่

Politics is Theatre แนวคิดการเมืองคือละครเวทีที่ต้องสมจริง

‘นักการเมือง’ คือนักแสดงผู้รับบท ‘ฮีโร่ขี่ม้าขาว’!  

แม้สังคมปัจจุบันจะทันสมัยและมีเหตุผลเพียงใด มนุษย์ก็ยังคงโหยหาฮีโร่และตำนานทางการเมือง นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จต้องสามารถแสดงบทบาท “ขี่ม้าขาว” ที่มอบความหวังและความมั่นใจให้ประชาชน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บารัค โอบามา ในปี 2008 ที่สร้างภาพลักษณ์ผู้กอบกู้ประเทศจากยุคบุช และเชื่อมโยงตัวเองเหมือน มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการรวมใจของอเมริกา

Politics is Theatre แนวคิดการเมืองคือละครเวทีที่ต้องสมจริง

‘สัญลักษณ์’ และ ‘วาทศิลป์’ มีพลังยิ่งกว่า ‘ข้อเท็จจริง’

โอบามาในปี 2008 สามารถสร้างภาพลักษณ์แบบ “วีรบุรุษกอบกู้ชาติ” ได้สำเร็จ และบอกคนอเมริกันว่าเขาจะนำประเทศออกจากความเสียหายยุคบุช สัญลักษณ์เหล่านี้ถูกส่งผ่านสื่อราวกับการผลิตภาพยนตร์ ทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่ใหญ่กว่าชีวิตจริง แต่เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่ง เขากลับวางบทบาท “นักพูดผู้สร้างแรงบันดาลใจ” ลง และเลือกที่จะทำงานอย่างผู้บริหารที่มุ่งเน้นนโยบายจริงจัง

โอบามาเชื่อว่าผลงานและกฎหมายที่ผ่านจะพูดแทนตัวเอง แต่ ผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่คือความผิดพลาด เพราะเขาสูญเสีย “พลังการแสดง” ที่เคยทำให้ประชาชนอินและเชื่อมโยง ขณะที่เขาหันไปนั่งทำงานในทำเนียบขาว ทำใฟ้พรรครีพับลิกันกลับเข้ามายึดเวทีทางสัญลักษณ์แทน ใช้การเล่าเรื่องและภาพลักษณ์เพื่อโจมตีและสร้างพลังทางการเมืองใหม่ ทำให้โอบามาดูอ่อนแอและสูญเสียการควบคุมเรื่องเล่า

กล่าวคือ นักการเมืองที่สามารถใช้ วาทศิลป์และการแสดงเชิงสัญลักษณ์ มักมีพลังทางการเมืองมากกว่าคนที่ทำงานเงียบ ๆ แบบผู้บริหารทั่วไป เพราะประชาชนไม่ได้สนใจแค่เนื้อหานโยบาย แต่ยังต้องการ “เรื่องเล่า” และ “ภาพแทนของความหวัง” อยู่ตลอดเวลา 

Politics is Theatre แนวคิดการเมืองคือละครเวทีที่ต้องสมจริง

ภาพยนตร์ที่ชนะคือ ‘ภาพยนตร์ที่ดูสมจริงที่สุด!’

การหาเสียงเหมือนการผลิตภาพยนตร์ ทุกคำพูด ทุกภาพล้วนถูกสร้างขึ้น แต่ผู้สมัครที่จะชนะคือคนที่ทำให้ประชาชนเชื่อว่าการแสดงนั้น “จริงใจ” ไม่ใช่แค่จัดฉาก ตรงกันข้าม หากภาพลักษณ์ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ง ก็จะพังอย่างรวดเร็ว เพราะประชาธิปไตยต้องการคุณค่าของความซื่อสัตย์ โปร่งใส และอิสระ

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ประชาชนสายกลางคือกลุ่มที่ตัดสินผลการเลือกตั้ง และสิ่งที่พวกเขาตอบสนองมากที่สุดคือ “การแสดงออก” และ “สัญลักษณ์” มากกว่ารายละเอียดนโยบาย หากผู้นำสามารถแสดงบทบาทที่จริงใจ เชื่อมโยงกับความหวัง ความกลัว และตำนานของสังคมได้ เขาก็จะกลายเป็นตัวแทนของประชาชน และนี่คือการแสดงทางการเมืองอย่างแท้จริง

ที่มา : yale

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

 

 

 

 

related