SHORT CUT
สรุปเหตุการณ์ "Block Everything": ฝรั่งเศสเป็นอัมพาต - ประท้วงทั่วประเทศ ม็อบ 200,000 ลุกต้านแผนรัดเข็มขัดของมาครง
ความเดือดดาลที่ฝรั่งเศส - ผู้ประท้วงทั่วประเทศฝรั่งเศส ปิดถนนหลวงสายหลักหลายสาย หลากหลายเมือง ทั้งปารีส มาร์กเซย์ มงเปลลิเยร์ รวมถึงเมืองอื่นๆ จุดไฟเผาสิ่งกีดขวาง และปะทะกับตำรวจเป็นระยะในวันพุธ ภายใต้การเคลื่อนไหวที่ใช้ชื่อว่า "Block Everything" (ปิดทุกอย่าง) เพื่อแสดงความโกรธแค้นต่อประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ชนชั้นทางการเมือง และแผนการตัดลดงบประมาณครั้งใหญ่ของรัฐบาล
ทางการได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกว่า 80,000 นายทั่วประเทศ เพื่อเข้ารื้อถอนสิ่งกีดขวางและควบคุมสถานการณ์ ขณะที่ความตึงเครียดได้ปะทุขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในกรุงปารีสที่มีกลุ่มนักเรียนและเยาวชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีการจับกุมผู้ประท้วงแล้วกว่า 300 คน
การประท้วงครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจที่สั่งสมต่อสิ่งที่ผู้ชุมนุมมองว่าเป็น "ชนชั้นนำที่ไร้ประสิทธิภาพ" ซึ่งกำลังนำพาประเทศไปสู่นโยบายรัดเข็มขัดที่รุนแรงขึ้น ความโกรธแค้นปะทุขึ้นอย่างชัดเจนหลังจากรัฐบาลชุดก่อนเสนอแผนตัดลดงบประมาณสูงถึง 44,000 ล้านยูโร (ประมาณ 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักในการแก้ไขปัญหาวินัยทางการคลัง โดยมีตัวเลขขาดดุลงบประมาณสูงเกือบสองเท่าของเพดานที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ที่ 3% ของ GDP และมีหนี้สาธารณะสูงถึง 114% ของ GDP
การเคลื่อนไหว "Block Everything" เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมจากกลุ่มขวาจัดบนโซเชียลมีเดีย ก่อนที่จะถูกนำไปขยายผลต่อโดยกลุ่มฝ่ายซ้ายและซ้ายจัด ทำให้เกิดการรวมตัวของผู้คนจากหลากหลายอุดมการณ์ที่ไม่พอใจต่อรัฐบาล
นักวิเคราะห์หลายคนเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้กับการประท้วงของกลุ่ม "เสื้อกั๊กเหลือง" (gilets jaunes) ในปี 2018 ซึ่งเริ่มต้นจากการต่อต้านการขึ้นราคาน้ำมัน ก่อนจะบานปลายเป็นขบวนการต่อต้านประธานาธิบดีมาครงและนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของเขาในวงกว้าง
นายบรูโน เรอไตโญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ยอมรับว่าจำนวนผู้ประท้วงเกือบ 200,000 คนทั่วประเทศนั้นถือเป็น "จำนวนที่มีนัยสำคัญ" แต่ยืนยันว่าความพยายามที่จะ "ปิดประเทศ" นั้นไม่ประสบความสำเร็จ
สถานการณ์ทางการเมืองของฝรั่งเศสยังคงเปราะบาง ท่ามกลางการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และแรงกดดันจากประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญสำหรับเสถียรภาพของรัฐบาลประธานาธิบดีมาครงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า