svasdssvasds

4 หนังโลกล่มสลาย กับโอกาสเกิดขึ้นในโลกความจริง เราเสี่ยงแค่ไหน ?

4 หนังโลกล่มสลาย กับโอกาสเกิดขึ้นในโลกความจริง เราเสี่ยงแค่ไหน ?

เมื่อธรรมชาติหันกลับมาทวงคืนโลก สำรวจ 4 ภาพยนตร์หายนะสิ่งแวดล้อมที่จินตนาการวันสิ้นโลก และตั้งคำถามว่าเหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่

SHORT CUT

  • ภาพยนตร์อย่าง The Day After Tomorrow, Waterworld, The Road และ Interstellar ชวนเราจินตนาการถึงวันที่ธรรมชาติเอาคืนมนุษย์ และตั้งคำถามว่าเราจะอยู่รอดอย่างไรในโลกที่ทรุดโทรม
  • เหตุการณ์แบบพายุแช่แข็งโลกหรือโลกจมน้ำทั้งใบแทบเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเกิดช้ากว่าในหนัง แต่ก็ส่งผลจริง เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นหรือวิกฤตอาหารในบางภูมิภาค
  • แม้โลกอาจไม่เผชิญหายนะฉับพลันแบบในภาพยนตร์ แต่ภัยพิบัติและโลกร้อนกำลังคืบคลานอย่างต่อเนื่อง หากไม่เร่งแก้ไข วันนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะที่เลี่ยงได้ยาก

เมื่อธรรมชาติหันกลับมาทวงคืนโลก สำรวจ 4 ภาพยนตร์หายนะสิ่งแวดล้อมที่จินตนาการวันสิ้นโลก และตั้งคำถามว่าเหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่

มนุษย์เรามักหวาดกลัวพลังของธรรมชาติที่เกินควบคุม และในขณะเดียวกันก็หลงใหลในมันอย่างลึกล้ำ ความหวาดหวั่นนี้เองที่ผลักดันให้เกิดภาพยนตร์ “โลกพังพินาศ” มากมาย เพื่อจินตนาการถึงวันที่ธรรมชาติหันกลับมาทวงคืนโลกใบนี้จากมนุษย์ และยังสะท้อนความจริงอันเรียบง่ายและน่าครั่นคร้ามว่า “ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์เสมอ”

4 หนังโลกล่มสลาย กับโอกาสเกิดขึ้นในโลกความจริง เราเสี่ยงแค่ไหน ?

บทความนี้ชวนคุณสำรวจ 4 ภาพยนตร์ชื่อดังที่พูดถึงโลกหลังหายนะ ซึ่งแต่ละเรื่องต่างถ่ายทอดภาพของโลกที่พังทลายด้วยภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และเราจะพาไปแยกองค์ประกอบสำคัญของแต่ละเรื่องอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง เหตุผลหรือกลไกที่ทำให้โลกพังทลาย ไปจนถึงการพิจารณาว่า “สถานการณ์เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่?”

4 หนังโลกล่มสลาย กับโอกาสเกิดขึ้นในโลกความจริง เราเสี่ยงแค่ไหน ?

Waterworld (1995) เมื่อโลกกลายเป็นทะเล

สิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง

ในโลกอนาคต น้ำท่วมโลกจนจมเกือบทั้งหมด มนุษย์ที่เหลือรอดอาศัยอยู่บนเรือและชุมชนลอยน้ำ ต้องออกตามหา “แผ่นดิน” ที่อาจยังหลงเหลืออยู่

สาเหตุโลกกลายเป็นน้ำ

ภาวะโลกร้อนจากก๊าซเรือนกระจกทำให้น้ำแข็งขั้วโลก ธารน้ำแข็ง และแผ่นน้ำแข็งยักษ์ละลาย ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลพุ่งสูงอย่างมหาศาล

โลกทั้งใบจะจมน้ำหรือไม่?

แม้แนวคิดน้ำท่วมโลกจะเป็นที่นิยมมาตลอด และเรากำลังเผชิญ “ทะเลหนุน” จริง แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นจมน้ำทั้งโลกแบบในหนัง ทุกวันนี้ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยสูงขึ้นแล้วราว 23 ซม. ตั้งแต่ปี 1880 และเร่งขึ้นอย่างชัดในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักคือโลกร้อนทำให้น้ำทะเลขยายตัวและน้ำแข็งละลายมากขึ้น

NASA ประเมินว่าอาจเพิ่มอีกราว 30 ซม. ภายในปี 2050 และแตะราว 1 เมตรภายในปี 2100 หากไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเพิ่มขึ้นเพียง 1 เมตรก็ทำให้เมืองชายฝั่งทั่วโลกเผชิญน้ำท่วมบ่อยและรุนแรงขึ้น กระทบชุมชนกว่า 680 ล้านชีวิตทั่วโลก

ส่วนเหตุการณ์แบบ Waterworld ที่ “โลกทั้งใบไร้ผืนดิน” นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ แม้สมมติให้น้ำแข็งบนโลกละลายหมด ระดับทะเลจะสูงขึ้นราว 60–70 เมตร ซึ่งจะทำลายเมืองชายฝั่งแทบทั้งหมด แต่ยังเหลือพื้นที่สูงและภูเขาอยู่มาก ทว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ระบบนิเวศ น้ำจืด และการย้ายถิ่นของผู้คนจะรุนแรงมหาศาลอยู่ดี

4 หนังโลกล่มสลาย กับโอกาสเกิดขึ้นในโลกความจริง เราเสี่ยงแค่ไหน ?

The Day After Tomorrow  “โลกกลับสู่ยุคน้ำแข็ง”

สิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง

โลกทางตอนเหนือเผชิญสภาพอากาศสุดขั้วแบบฉับพลัน เกิดพายุยักษ์ที่ดึงอากาศหนาวจากชั้นบรรยากาศลงมาแช่แข็งพื้นโลกทันที จนนำไปสู่ “ยุคน้ำแข็ง” ในเวลาไม่กี่วัน ขณะที่ผู้คนต้องหนีเอาชีวิตรอดจากหายนะทางธรรมชาติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกใบนี้

สาเหตุโลกเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง

หนังโยงไปที่ภาวะโลกร้อนที่ทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดยเฉพาะระบบ AMOC สะดุด ทำให้การหมุนเวียนความร้อนล้มเหลว อากาศโลกเสียสมดุลและ “พลิกกลับ” อย่างฉับพลัน

โลกเราจะกลับสู่ยุคน้ำแข็งอีกไหม?

เราอาจหวั่นกลัวว่าโลกจะพลิกผันเหมือนในหนัง The Day After Tomorrow ที่พายุยักษ์พัดความหนาวแช่แข็งโลกในพริบตา แต่ความเป็นจริงแล้ว ธรรมชาติไม่ทำงานรวดเร็วปานเวทมนตร์เช่นนั้น นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเหตุการณ์ “โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็งฉับพลัน” เป็นนิยายวิทยาศาสตร์เกินไป

การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันในธรรมชาติ (ถ้าจะเกิดขึ้น) ก็ต้องกินเวลาระดับทศวรรษ ไม่ใช่วันหรือสัปดาห์ ปัจจุบันมีหลักฐานว่าโลกกำลังอุ่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ AMOC อาจชะลอตัวลงบ้าง แต่ไม่น่าหยุดนิ่งในศตวรรษนี้ ผลที่เป็นไปได้คือยุโรปอาจเย็นลงบางฤดูกาล และระดับน้ำทะเลฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกอาจสูงขึ้นเป็นบางช่วง แต่ไม่ก่อ “ยุคน้ำแข็งทันที” แน่นอน

4 หนังโลกล่มสลาย กับโอกาสเกิดขึ้นในโลกความจริง เราเสี่ยงแค่ไหน ?

The Road (2009) โลกที่เกือบไร้ชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง

โลกหลังเหตุการณ์ล้างผลาญครั้งใหญ่ ฟ้าหม่น หนาวเย็น ระบบนิเวศพังทลาย พืชตายหมด ห่วงโซ่อาหารขาดสะบั้น มนุษย์เพียงหยิบมือที่รอดต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในโลกไร้ความหวัง เรื่องติดตามพ่อลูกคู่หนึ่งที่พยายามข้ามดินแดนรกร้างเพื่อค้นหาความปลอดภัยและเศษเสี้ยวของความหวังท่ามกลางโลกที่ไร้อารยธรรมโดยสิ้นเชิง

โอกาสเกิดในโลกความจริง

ในหนังไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าสาเหตุที่ทำให้โลกล่มสลายคืออะไร ทว่าฉากทัศน์แบบ “โลกว่างเปล่าไร้ชีวิต” อย่าง The Road มีโอกาสต่ำมาก แต่ไม่ใช่ศูนย์ โดยเฉพาะจาก สงครามนิวเคลียร์

แบบจำลองชี้ว่า แม้ความขัดแย้งขนาดจำกัด (เช่น ใช้หัวรบ ~100 ลูก) ก็อาจทำให้อุณหภูมิโลกเฉลี่ยลดลงมากกว่า 1°C ใน 2–3 ปี ฝนทั่วโลกลดลง ~10% และทำให้ผลผลิตอาหารล้มเหลว ส่วนความขัดแย้งเต็มสเกลระหว่างมหาอำนาจอาจก่อวิกฤตอาหารระดับที่ประชากรโลกหลายพันล้านคนเสี่ยงเสียชีวิตจากความอดอยาก

หากโลกอนาคตจะเป็นแบบหนัง The Road คงไม่ได้มาจากภัยธรรมชาติแน่นอน แต่อาจจะมาจากสงครามนิวเคลียร์ของมนุษย์ด้วยกันเอง

4 หนังโลกล่มสลาย กับโอกาสเกิดขึ้นในโลกความจริง เราเสี่ยงแค่ไหน ?

Interstellar (2014)  โลกที่ปลูกอาหารไม่ได้

สิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง

พืชอาหารเกือบทั้งหมดถูกทำลาย เหลือเพียงข้าวโพดที่ยังพอปลูกได้ (และกำลังถูกคุกคาม) เกิดพายุฝุ่นยักษ์บ่อยครั้งจากดินเสื่อม ผู้คนป่วยทางเดินหายใจและเสี่ยงอดอยาก มนุษย์จึงต้องมองหาบ้านใหม่ในอวกาศ

สาเหตุพืชล้มตาย

โรคพืชที่ระบาดในพืชทำลายพืชอาหารเกือบทั้งหมด

โอกาสเกิดในโลกความจริง

ฉากแบบใน Interstellar อาจไม่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก แต่สามารถเกิดขึ้นเป็นจุด ๆ ในบางภูมิภาคได้จริง และเคยเกิดมาแล้ว เช่น เหตุการณ์ Dust Bowl ในสหรัฐฯ ช่วงทศวรรษ 1930 ที่ภัยแล้งรุนแรงและการทำเกษตรไม่ระวังทำให้ดินเสื่อม พืชผลล้มตาย พายุฝุ่นถล่มไร่นา และผู้คนต้องอพยพหนีเป็นจำนวนมาก

ตัวอย่างร่วมสมัยคือ ภาคใต้มาดากัสการ์ ประสบภัยแล้ง 4 ปีซ้อน จนยูเอ็นจัดให้เป็น “ทุพภิกขภัยจากสภาพภูมิอากาศ” กรณีแรกของโลกยุคใหม่ พายุฝุ่น “tiomena” ฝังไร่นาและหมู่บ้าน ผลผลิตเป็นศูนย์ และยูเอ็นชี้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำลายความมั่นคงทางอาหารได้จริง

4 หนังโลกล่มสลาย กับโอกาสเกิดขึ้นในโลกความจริง เราเสี่ยงแค่ไหน ?

แม้โลกของเราจะไม่ง่ายที่จะเกิดหายนะรุนแรงแบบในภาพยนตร์ที่จบสิ้นทุกชีวิตในพริบตา แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะภัยพิบัติและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังคืบคลานอย่างเงียบเชียบและต่อเนื่อง หากเรายังละเลยไม่ลงมือแก้ไข วันนี้อาจยังไม่ใช่ฉากสุดท้ายของโลกเหมือนในหนัง แต่ทุกวันที่ปล่อยผ่านคืออีกก้าวหนึ่งที่เราเดินเข้าใกล้หายนะมากขึ้นเรื่อย ๆ

ที่มา ngthaitgo ,c2esipccnasaearthobservatory

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related