
SHORT CUT
เมื่อธรรมชาติหันกลับมาทวงคืนโลก สำรวจ 4 ภาพยนตร์หายนะสิ่งแวดล้อมที่จินตนาการวันสิ้นโลก และตั้งคำถามว่าเหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่
มนุษย์เรามักหวาดกลัวพลังของธรรมชาติที่เกินควบคุม และในขณะเดียวกันก็หลงใหลในมันอย่างลึกล้ำ ความหวาดหวั่นนี้เองที่ผลักดันให้เกิดภาพยนตร์ “โลกพังพินาศ” มากมาย เพื่อจินตนาการถึงวันที่ธรรมชาติหันกลับมาทวงคืนโลกใบนี้จากมนุษย์ และยังสะท้อนความจริงอันเรียบง่ายและน่าครั่นคร้ามว่า “ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์เสมอ”
บทความนี้ชวนคุณสำรวจ 4 ภาพยนตร์ชื่อดังที่พูดถึงโลกหลังหายนะ ซึ่งแต่ละเรื่องต่างถ่ายทอดภาพของโลกที่พังทลายด้วยภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และเราจะพาไปแยกองค์ประกอบสำคัญของแต่ละเรื่องอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง เหตุผลหรือกลไกที่ทำให้โลกพังทลาย ไปจนถึงการพิจารณาว่า “สถานการณ์เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่?”
ในโลกอนาคต น้ำท่วมโลกจนจมเกือบทั้งหมด มนุษย์ที่เหลือรอดอาศัยอยู่บนเรือและชุมชนลอยน้ำ ต้องออกตามหา “แผ่นดิน” ที่อาจยังหลงเหลืออยู่
ภาวะโลกร้อนจากก๊าซเรือนกระจกทำให้น้ำแข็งขั้วโลก ธารน้ำแข็ง และแผ่นน้ำแข็งยักษ์ละลาย ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลพุ่งสูงอย่างมหาศาล
แม้แนวคิดน้ำท่วมโลกจะเป็นที่นิยมมาตลอด และเรากำลังเผชิญ “ทะเลหนุน” จริง แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นจมน้ำทั้งโลกแบบในหนัง ทุกวันนี้ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยสูงขึ้นแล้วราว 23 ซม. ตั้งแต่ปี 1880 และเร่งขึ้นอย่างชัดในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักคือโลกร้อนทำให้น้ำทะเลขยายตัวและน้ำแข็งละลายมากขึ้น
NASA ประเมินว่าอาจเพิ่มอีกราว 30 ซม. ภายในปี 2050 และแตะราว 1 เมตรภายในปี 2100 หากไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเพิ่มขึ้นเพียง 1 เมตรก็ทำให้เมืองชายฝั่งทั่วโลกเผชิญน้ำท่วมบ่อยและรุนแรงขึ้น กระทบชุมชนกว่า 680 ล้านชีวิตทั่วโลก
ส่วนเหตุการณ์แบบ Waterworld ที่ “โลกทั้งใบไร้ผืนดิน” นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ แม้สมมติให้น้ำแข็งบนโลกละลายหมด ระดับทะเลจะสูงขึ้นราว 60–70 เมตร ซึ่งจะทำลายเมืองชายฝั่งแทบทั้งหมด แต่ยังเหลือพื้นที่สูงและภูเขาอยู่มาก ทว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ระบบนิเวศ น้ำจืด และการย้ายถิ่นของผู้คนจะรุนแรงมหาศาลอยู่ดี
โลกทางตอนเหนือเผชิญสภาพอากาศสุดขั้วแบบฉับพลัน เกิดพายุยักษ์ที่ดึงอากาศหนาวจากชั้นบรรยากาศลงมาแช่แข็งพื้นโลกทันที จนนำไปสู่ “ยุคน้ำแข็ง” ในเวลาไม่กี่วัน ขณะที่ผู้คนต้องหนีเอาชีวิตรอดจากหายนะทางธรรมชาติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกใบนี้
หนังโยงไปที่ภาวะโลกร้อนที่ทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดยเฉพาะระบบ AMOC สะดุด ทำให้การหมุนเวียนความร้อนล้มเหลว อากาศโลกเสียสมดุลและ “พลิกกลับ” อย่างฉับพลัน
เราอาจหวั่นกลัวว่าโลกจะพลิกผันเหมือนในหนัง The Day After Tomorrow ที่พายุยักษ์พัดความหนาวแช่แข็งโลกในพริบตา แต่ความเป็นจริงแล้ว ธรรมชาติไม่ทำงานรวดเร็วปานเวทมนตร์เช่นนั้น นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเหตุการณ์ “โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็งฉับพลัน” เป็นนิยายวิทยาศาสตร์เกินไป
การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันในธรรมชาติ (ถ้าจะเกิดขึ้น) ก็ต้องกินเวลาระดับทศวรรษ ไม่ใช่วันหรือสัปดาห์ ปัจจุบันมีหลักฐานว่าโลกกำลังอุ่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ AMOC อาจชะลอตัวลงบ้าง แต่ไม่น่าหยุดนิ่งในศตวรรษนี้ ผลที่เป็นไปได้คือยุโรปอาจเย็นลงบางฤดูกาล และระดับน้ำทะเลฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกอาจสูงขึ้นเป็นบางช่วง แต่ไม่ก่อ “ยุคน้ำแข็งทันที” แน่นอน
โลกหลังเหตุการณ์ล้างผลาญครั้งใหญ่ ฟ้าหม่น หนาวเย็น ระบบนิเวศพังทลาย พืชตายหมด ห่วงโซ่อาหารขาดสะบั้น มนุษย์เพียงหยิบมือที่รอดต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในโลกไร้ความหวัง เรื่องติดตามพ่อลูกคู่หนึ่งที่พยายามข้ามดินแดนรกร้างเพื่อค้นหาความปลอดภัยและเศษเสี้ยวของความหวังท่ามกลางโลกที่ไร้อารยธรรมโดยสิ้นเชิง
ในหนังไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าสาเหตุที่ทำให้โลกล่มสลายคืออะไร ทว่าฉากทัศน์แบบ “โลกว่างเปล่าไร้ชีวิต” อย่าง The Road มีโอกาสต่ำมาก แต่ไม่ใช่ศูนย์ โดยเฉพาะจาก สงครามนิวเคลียร์
แบบจำลองชี้ว่า แม้ความขัดแย้งขนาดจำกัด (เช่น ใช้หัวรบ ~100 ลูก) ก็อาจทำให้อุณหภูมิโลกเฉลี่ยลดลงมากกว่า 1°C ใน 2–3 ปี ฝนทั่วโลกลดลง ~10% และทำให้ผลผลิตอาหารล้มเหลว ส่วนความขัดแย้งเต็มสเกลระหว่างมหาอำนาจอาจก่อวิกฤตอาหารระดับที่ประชากรโลกหลายพันล้านคนเสี่ยงเสียชีวิตจากความอดอยาก
หากโลกอนาคตจะเป็นแบบหนัง The Road คงไม่ได้มาจากภัยธรรมชาติแน่นอน แต่อาจจะมาจากสงครามนิวเคลียร์ของมนุษย์ด้วยกันเอง
พืชอาหารเกือบทั้งหมดถูกทำลาย เหลือเพียงข้าวโพดที่ยังพอปลูกได้ (และกำลังถูกคุกคาม) เกิดพายุฝุ่นยักษ์บ่อยครั้งจากดินเสื่อม ผู้คนป่วยทางเดินหายใจและเสี่ยงอดอยาก มนุษย์จึงต้องมองหาบ้านใหม่ในอวกาศ
โรคพืชที่ระบาดในพืชทำลายพืชอาหารเกือบทั้งหมด
ฉากแบบใน Interstellar อาจไม่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก แต่สามารถเกิดขึ้นเป็นจุด ๆ ในบางภูมิภาคได้จริง และเคยเกิดมาแล้ว เช่น เหตุการณ์ Dust Bowl ในสหรัฐฯ ช่วงทศวรรษ 1930 ที่ภัยแล้งรุนแรงและการทำเกษตรไม่ระวังทำให้ดินเสื่อม พืชผลล้มตาย พายุฝุ่นถล่มไร่นา และผู้คนต้องอพยพหนีเป็นจำนวนมาก
ตัวอย่างร่วมสมัยคือ ภาคใต้มาดากัสการ์ ประสบภัยแล้ง 4 ปีซ้อน จนยูเอ็นจัดให้เป็น “ทุพภิกขภัยจากสภาพภูมิอากาศ” กรณีแรกของโลกยุคใหม่ พายุฝุ่น “tiomena” ฝังไร่นาและหมู่บ้าน ผลผลิตเป็นศูนย์ และยูเอ็นชี้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำลายความมั่นคงทางอาหารได้จริง
แม้โลกของเราจะไม่ง่ายที่จะเกิดหายนะรุนแรงแบบในภาพยนตร์ที่จบสิ้นทุกชีวิตในพริบตา แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะภัยพิบัติและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังคืบคลานอย่างเงียบเชียบและต่อเนื่อง หากเรายังละเลยไม่ลงมือแก้ไข วันนี้อาจยังไม่ใช่ฉากสุดท้ายของโลกเหมือนในหนัง แต่ทุกวันที่ปล่อยผ่านคืออีกก้าวหนึ่งที่เราเดินเข้าใกล้หายนะมากขึ้นเรื่อย ๆ
ที่มา ngthai, tgo ,c2es, ipcc, nasa, earthobservatory
ข่าวที่เกี่ยวข้อง