SHORT CUT
อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงยืนยัน รัฐบาลปกปิดซากยาน UAP และมีโครงการวิศวกรรมย้อนกลับที่ไม่ใช่มนุษย์สร้างขึ้น
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่เรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ UFO เป็นเพียงหัวข้อที่ถูกหยิบยกมาล้อเลียนในภาพยนตร์ไซไฟและรายการโทรทัศน์แนวเหนือธรรมชาติ ประเด็นนี้ถูกมองว่าเป็นความเชื่อที่ไร้สาระ และมักจะถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลงในสายตาของนักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วไป แต่แล้วอยู่ๆ เรื่องราวเหล่านี้ก็กลับมาอยู่บนเวทีการเมืองที่จริงจังที่สุดในโลก นั่นคือสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเหล่าอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงและนักบินกองทัพยืนยันภายใต้การสาบานตนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่รัฐบาลปกปิดอยู่
แต่หัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือการทำความเข้าใจว่าทำไมประเด็นที่เคยเป็นเรื่องขำขันถึงได้กลายมาเป็นประเด็นสำคัญในด้านความมั่นคงของชาติ และนำไปสู่คำถามที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น นั่นคือ "ความน่าเชื่อถือของรัฐบาล" และ "การกำกับดูแลตามระบอบประชาธิปไตย" ในประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างความลับทางการ
หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดซึ่งเกิดขึ้นก่อนการไต่สวนของสภาคองเกรสเสียอีก คือการที่หน่วยงานที่เป็นทางการของสหรัฐฯ เริ่มใช้คำว่า "ปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้" (Unidentified Anomalous Phenomena - UAP) แทนคำว่า "วัตถุบินไม่สามารถระบุได้" (Unidentified Flying Object - UFO) ที่เราคุ้นเคยกัน
ในตอนแรกอาจดูเหมือนเป็นการเปลี่ยนคำเรียกที่ไม่มีนัยสำคัญอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือการเปลี่ยน "กรอบการสนทนา" ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้
สาเหตุที่การเปลี่ยนคำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งมาจากความจริงที่ว่าคำว่า "UFO" นั้นถูกเชื่อมโยงอย่างเหนียวแน่นกับความเชื่อเหนือธรรมชาติ, ทฤษฎีสมคบคิด, และเรื่องราวในวัฒนธรรมป๊อปมาอย่างยาวนาน ซึ่งทำให้การสืบสวนอย่างเป็นทางการที่เกี่ยวข้องกับคำนี้มักจะถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลง และถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระในสายตาของสาธารณชนและนักวิทยาศาสตร์
การนำคำว่า "UAP" มาใช้โดยหน่วยงานที่เป็นทางการอย่าง All-domain Anomaly Resolution Office (AARO) ภายใต้กระทรวงกลาโหมและสภาคองเกรสจึงเป็นการช่วย "ลบตราบาป" หรือลดความน่าขันที่เคยเกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ลง
นอกจากนี้ นิยามของ UAP ยังถูกขยายให้กว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่จำกัดอยู่แค่ในอากาศเท่านั้น แต่ยังรวมถึง "วัตถุข้ามสื่อ" (transmedium objects) และ "พฤติกรรมหรือลักษณะที่เกินกว่าประสิทธิภาพที่ทราบ" ในหลายโดเมน ทั้งทางอากาศ ใต้น้ำ และอวกาศ
การขยายนิยามนี้ทำให้หน่วยงานด้านข่าวกรองและกองทัพสามารถเชื่อมโยงปรากฏการณ์เหล่านี้เข้ากับความกังวลด้าน "เทคโนโลยีของศัตรูต่างชาติ" ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งทำให้ประเด็นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการค้นหาความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวอีกต่อไป แต่มันคือเรื่องของภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ต่อความมั่นคงของชาติ การเปลี่ยนแปลงนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการย้ายจุดสนใจของรัฐบาลจากการตั้งคำถามเชิงจักรวาลวิทยาไปสู่การประเมินความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประเทศโดยตรง
ประวัติศาสตร์การสืบสวนปรากฏการณ์ UAP ของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย และรากฐานของข้อกล่าวหาเรื่องการปกปิดข้อมูลก็หยั่งรากลึกมาตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1940 หลังจากที่มีรายงานการพบเห็นวัตถุบินจำนวนมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้จัดตั้งโครงการสืบสวนขึ้นมาอย่างต่อเนื่องถึงสามโครงการเพื่อไขปริศนาเหล่านี้
โครงการแรกคือ Project Sign (1948) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจและเป็นรากฐานของข้อกล่าวหาเรื่องการปกปิดข้อมูลมาจนถึงปัจจุบัน รายงานของโครงการนี้เคยเสนอสมมติฐานว่า UFO มีต้นกำเนิดจากนอกโลก แต่รายงานดังกล่าวถูกนายพล Hoyt S. Vandenburg ปฏิเสธและสั่งทำลาย
นี่คือหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ในช่วงแรกเริ่มของการสืบสวนอย่างเป็นทางการ รัฐบาลก็มีแนวโน้มที่จะเลือกปฏิเสธสมมติฐานที่ดูสุดโต่งและไม่สามารถควบคุมการเล่าเรื่องได้
หลังจากนั้น โครงการที่สองคือ Project Grudge (1948–1952) ได้เปลี่ยนแนวทางมาในเชิงที่ไม่เปิดกว้างมากขึ้น โดยเน้นไปที่การอธิบายปรากฏการณ์ว่าเป็นภาพลวงตาหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติเพื่อลดความตื่นตระหนกและโครงการที่สามซึ่งเป็นโครงการที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ
Project Blue Book (1952–1969) ได้เข้ามาสานต่อการสืบสวนอย่างจริงจังเป็นเวลา 17 ปี โครงการนี้ได้ทำการสืบสวนรายงานการพบเห็นทั้งหมด 12,618 ครั้ง และสามารถระบุได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ, วัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น, หรือเรื่องที่แต่งขึ้น 11,917 รายงาน อย่างไรก็ตาม ยังมีรายงานถึง 701 ครั้งที่ยังคง "ไม่สามารถระบุได้"
การสืบสวนอย่างเป็นทางการยุติลงอย่างสิ้นเชิงในปี 1968 หลังจากมีการเผยแพร่ Condon Report ซึ่งสรุปอย่างเป็นทางการว่า "ไม่มีสิ่งใดที่มาจากการศึกษา UFO ในช่วง 21 ปีที่ผ่านมาที่ได้เพิ่มพูนความรู้ทางวิทยาศาสตร์"
ข้อสรุปของรายงานฉบับนี้กลายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ หยุดการจัดสรรงบประมาณสำหรับการสืบสวน UFO ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และนำไปสู่ช่วงเวลาแห่งความเงียบงันยาวนานถึง 48 ปี ตั้งแต่ปี 1969 ถึง 2017
ความเงียบที่ยาวนานนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เป็นการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อสรุปอย่างเป็นทางการของรัฐบาล และเป็นรากฐานที่ทำให้ข้อกล่าวหาเรื่อง "การปกปิดข้อมูล" มีน้ำหนักมากขึ้นในสายตาของผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมาจนถึงปัจจุบัน
จุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การไต่สวนในสภาคองเกรสเกิดขึ้นในปี 2017 เมื่อหนังสือพิมพ์ The New York Times เปิดเผยถึงโครงการลับของกระทรวงกลาโหมชื่อ Advanced Aerospace Threat Identification Program (AATIP) พร้อมกับการเผยแพร่วิดีโอจากกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งต่อมามีการจัดตั้ง Unidentified Aerial Phenomena Task Force (UAPTF) และ All-domain Anomaly Resolution Office (AARO) ขึ้นมา การเปิดเผยเหล่านี้เป็นชนวนสำคัญที่จุดประกายความสนใจของสาธารณชนและนักการเมืองอีกครั้ง
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2023 และกันยายน ค.ศ. 2025 สภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้จัดการไต่สวนในประเด็น UAP โดยมีการเชิญพยานหลายปากขึ้นให้การ ซึ่งรวมถึงอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงและบุคลากรทางทหารที่ยังมีสถานะประจำการอยู่ การไต่สวนเหล่านี้ได้กลายเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอข้อกล่าวหาที่น่าตื่นตะลึงหลายประการ
พยานปากสำคัญที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ David Grusch อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของกองทัพอากาศ Grusch ได้ให้การต่อคณะกรรมการการตรวจสอบและรับผิดชอบของสภาผู้แทนราษฎรว่าเขามี "ความรู้ส่วนตัว" เกี่ยวกับโครงการลับของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีมานานหลายทศวรรษ
เขากล่าวหาว่ารัฐบาลได้ครอบครองและมีโครงการวิศวกรรมย้อนกลับ (reverse-engineering) ซากยานอวกาศที่ไม่ใช่มนุษย์และยังอ้างว่าได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงการว่ามีการกู้ "สารชีวภาพที่ไม่ใช่มนุษย์" (non-human biologics) จากซากยานเหล่านั้นด้วย
สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นคือ Grusch ยืนยันว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มาจากสิ่งที่เขาเห็นด้วยตาตนเอง แต่มาจากคำบอกเล่าของ "ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงการ" กว่า 40 คน ซึ่งทำให้คำให้การของเขามีลักษณะเป็นพยานหลักฐานจากบุคคลที่เชื่อถือได้ (hearsay) ไม่ใช่หลักฐานเชิงประจักษ์โดยตรง
นอกจาก Grusch แล้ว ยังมีพยานปากอื่นๆ ที่ได้ให้การยืนยันถึงการพบเห็น UAP และผลที่ตามมา พยานเหล่านี้ได้แก่ Ryan Graves และ David Fravor อดีตนักบินทหารเรือที่ให้การยืนยันถึงการพบ UAP ที่มีเทคโนโลยี "เหนือกว่าสิ่งใดที่พวกเขามี"
Jeffrey Nuccetelli ทหารผ่านศึกกองทัพอากาศที่ให้การถึงการพบเห็นวัตถุขนาดใหญ่ "เหมือนอาคารที่กำลังบินอยู่" และระบุว่าเอกสารบันทึกเหตุการณ์นั้นถูกทำลายโดยกองทัพอากาศ
Dylan Borland ทหารผ่านศึกอีกนายที่ให้การว่าเขาถูกตอบโต้อย่างรุนแรงและอาชีพถูกขัดขวางหลังจากการให้ข้อมูลเกี่ยวกับ UAP สิ่งที่น่าสนใจคือพยานเหล่านี้ส่วนใหญ่ให้การในฐานะ "ผู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง" และหลายคนกล่าวถึงประสบการณ์การถูกตอบโต้หลังให้ข้อมูล
แม้คำให้การของ Grusch จะเป็นเพียง "คำบอกเล่า" แต่เมื่อนำมารวมกับคำให้การของพยานคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเองและประสบการณ์การถูกตอบโต้ที่สอดคล้องกัน มันจะสร้าง "รูปแบบเรื่องราว" ที่สอดคล้องขึ้นมา ทำให้ข้อกล่าวหาเรื่องการปกปิดข้อมูลมีน้ำหนักในเชิงการเมืองและกฎหมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ปฏิกิริยาต่อคำให้การของพยานในสภาคองเกรสนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่นักการเมืองหลายคนให้ความสำคัญอย่างมากและเร่งผลักดันกฎหมายเพื่อให้เกิดความโปร่งใส แวดวงวิทยาศาสตร์กลับมีปฏิกิริยาในเชิงตั้งคำถามและสงสัยอย่างมาก
โดยข้อโต้แย้งหลักที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนยกขึ้นมาคือการที่ข้อกล่าวหาทั้งหมดเป็นเพียง "ข่าวลือ" (hearsay) และ "ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์" ที่สามารถนำมาทดสอบหรือพิสูจน์ได้
ความแตกต่างทางความคิดนี้ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากความขัดแย้งเชิงหลักการที่ลึกซึ้งในเรื่องของ "ภาระการพิสูจน์" (Burden of Proof) ที่ใช้ในสองโลกที่แตกต่างกัน
ในบริบททางกฎหมายและข่าวกรอง คำให้การภายใต้การสาบานตนของผู้ที่มีตำแหน่งและประวัติที่น่าเชื่อถือถือเป็น "พยานชั้นหนึ่ง" ที่มีน้ำหนักอย่างมาก ในทางปฏิบัติของหน่วยงานข่าวกรอง การได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้แม้จะไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองถือเป็นเรื่องปกติ และหากพยานเหล่านั้นไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดได้ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เข้าใจได้
ดังนั้น สำหรับนักการเมืองที่ต้องการเปิดโปงการกระทำผิดหรือการใช้งบประมาณอย่างไม่โปร่งใส คำให้การของพยานที่มีความน่าเชื่อถือจึงเพียงพอที่จะนำไปสู่การผลักดันกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
ในทางตรงกันข้าม โลกของวิทยาศาสตร์นั้นต้องการ "หลักฐานเชิงประจักษ์" (Empirical evidence) ที่สามารถทดสอบและทำซ้ำได้ ซึ่งเป็นข้อมูลดิบที่สามารถนำมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการได้โดยปราศจากข้อกังขา คำให้การเพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่นได้
นักวิทยาศาสตร์ต้องการข้อมูลทางกายภาพ เช่น เศษซากโลหะ, ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่ละเอียดอ่อน, หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นรูปธรรมและสามารถนำมาวิเคราะห์ได้อย่างอิสระ
ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นเพราะแต่ละฝ่ายมีวัตถุประสงค์และเครื่องมือที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นักการเมืองต้องการเปิดโปงการกระทำที่ผิดกฎหมายและสร้างความโปร่งใส ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการสร้างความรู้ใหม่ที่สามารถพิสูจน์และเผยแพร่ได้
ผลลัพธ์คือ นักการเมืองสามารถผลักดันกฎหมายจากคำให้การที่น่าเชื่อถือได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตีพิมพ์ผลงานวิจัยจาก "คำบอกเล่า" ได้ ด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จนกว่าจะมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมที่สามารถนำมาพิสูจน์ในห้องทดลองได้จริง
การไต่สวนในรัฐสภาได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการเมือง, กฎหมาย และแวดวงวิทยาศาสตร์
คำให้การของพยานนำไปสู่ความพยายามทางกฎหมายที่สำคัญอย่าง Unidentified Anomalous Phenomena Disclosure Act of 2023 ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายหลักในการบังคับให้เกิดความโปร่งใส 1 กฎหมายฉบับนี้มีข้อกำหนดสำคัญหลายประการ เช่น การจัดตั้งคลังบันทึก UAP ที่เป็นทางการใน National Archives และการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระ 9 คนเพื่อทบทวนและเปิดเผยบันทึกดังกล่าว 1 นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติที่น่าสนใจอย่างการให้อำนาจรัฐบาลกลางในการยึดครองเทคโนโลยีหรือหลักฐานทางชีววิทยาที่ไม่ใช่มนุษย์ที่อยู่ในมือของบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ถึงเจตนาที่แท้จริงของกฎหมายในการป้องกันการผูกขาดการเข้าถึงข้อมูลที่อาจเปลี่ยนแปลงโลก
นอกจากนี้ การไต่สวนยังเน้นย้ำถึงช่องโหว่ในการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูล (whistleblowers) โดยเฉพาะในบริบทของบุคลากรทางทหารและข่าวกรอง ซึ่ง Whistleblower Protection Act (WPA) ฉบับปัจจุบันยังไม่ได้ให้การคุ้มครองอย่างครอบคลุม การไต่สวนจึงเป็นเวทีที่ใช้ในการพิจารณาหาแนวทางที่รัฐสภาสามารถเพิ่มการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูลได้ เพื่อให้บุคลากรเหล่านี้สามารถรายงานเหตุการณ์ UAP โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตอบโต้หรือถูกทำลายอาชีพ
ในขณะที่นักการเมืองให้ความสำคัญกับคำให้การของพยาน แวดวงวิทยาศาสตร์และวิชาการกลับมีปฏิกิริยาในเชิงตั้งคำถามและสงสัยอย่างมาก โดยย้ำว่าการขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ทำให้การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถก้าวต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม การไต่สวนครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบที่ใหญ่กว่าเรื่อง UAP/UFO เพียงอย่างเดียว นั่นคือ มันได้เปิดเผยถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างความต้องการความโปร่งใสของสภาคองเกรสกับความพยายามของหน่วยงานด้านความมั่นคงในการจัดการข้อมูลภายใต้กรอบของความลับของชาติ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในระบอบประชาธิปไตย
การบรรลุความโปร่งใสที่แท้จริงต้องอาศัยแนวทางที่รอบด้านและบูรณาการ ซึ่งควรรวมถึงข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
การจัดตั้งช่องทางการรายงานที่เป็นทางการและปราศจากตราบาป ควรมีการจัดตั้งช่องทางที่ชัดเจนและได้รับการรับรองทางกฎหมาย เพื่อให้บุคลากรทางทหารและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานข่าวกรองสามารถรายงานเหตุการณ์ UAP ที่น่าเชื่อถือได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตอบโต้หรือส่งผลกระทบเชิงลบต่ออาชีพ
การจัดตั้งคณะกรรมการอิสระที่แท้จริง: ควรจัดตั้งคณะกรรมการอิสระที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกหน่วยงานรัฐบาล เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและประเมินข้อมูลอย่างเป็นกลาง โดยปราศจากอคติหรือข้อจำกัดด้านความมั่นคงที่เกินความจำเป็น ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลการวิจัยในสายตาของสาธารณชนและแวดวงวิชาการ
การสร้างความร่วมมืออย่างแท้จริงระหว่างแวดวงวิชาชีพ: การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเชิงหลักการระหว่างนักกฎหมาย, นักข่าวกรอง, และนักวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยความพยายามร่วมกันในการสร้างความเข้าใจร่วมกันในเรื่องของ "ภาระการพิสูจน์" และการพัฒนากรอบการทำงานที่สามารถยอมรับพยานหลักฐานจากทุกฝ่าย เพื่อให้ข้อมูลจากผู้เห็นเหตุการณ์ทางทหารสามารถถูกนำมาวิเคราะห์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเหมาะสมต่อไป
การไต่สวนในรัฐสภาสหรัฐฯ ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในประเด็น UFO/UAP โดยได้ยกระดับการสนทนาจากขอบเขตของเรื่องราวลึกลับไปสู่การพิจารณาอย่างจริงจังในด้านความมั่นคงของชาติและความรับผิดชอบของรัฐบาล
แม้ว่าคำให้การของพยานปากสำคัญอย่าง David Grusch จะยังไม่สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกหรือยานอวกาศของพวกมันได้อย่างชัดเจนตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่การไต่สวนก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการนำประเด็นการปกปิดข้อมูลของรัฐบาลและภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นมาสู่การพิจารณาในเวทีสาธารณะและในทางการเมือง
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของ UAP ไม่ได้จบลงที่คำถามเรื่อง "พวกเขาอยู่ที่นี่จริงหรือ?" แต่มันคือการเดินทางเพื่อค้นหาความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น นั่นคือการเปิดเผยให้เห็นว่า "ความน่าเชื่อถือของรัฐบาล" และ "ความสามารถของประชาชนในการกำกับดูแลผู้มีอำนาจ" นั้นสำคัญเพียงใดในโลกที่ความลับเป็นเรื่องธรรมดา และอาจมีผลกระทบที่ลึกซึ้งกว่าที่เราเคยคาดคิดไว้ การที่เราจะก้าวต่อไปได้นั้นไม่เพียงแต่ต้องการหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ยังต้องการกระบวนการที่โปร่งใสและเป็นธรรม ที่จะทำให้ผู้ที่รู้ข้อมูลสามารถเปิดเผยความจริงได้อย่างปลอดภัย
อ้างอิง
ITL / STD / OV1 / OV2 / SPACE / AARO / DFS / Brain / Congress / Whis / OIG / News / IThesis /